หลัก8ประการของการดูแลรักษาสุขภาพ

๑. รับประทานอาหาร  อย่างถูกต้องเหมาะสม

อาหารเช้า สำคัญมากเพราะช่วงเช้าร่างกายขาดน้ำตาล ถ้าไม่รับประทานอาหารเช้าจะเกิดภาวะขาดน้ำตาลซึ่งจะมีผลทำให้ความคิดตื้อตันไม่ปลอดโปร่ง วิตกกังวล ใจสั่น อ่อนเพลีย หงุดหงิด โมโหง่าย มื้อเช้ารับประทานได้เช้าที่สุดยิ่งดี (ระหว่างเวลา ๖.๐๐ – ๗.๐๐ น.) เพราะท้องว่างมานาน หากยังไม่มีอาหารให้ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำข้าวอุ่น ๆ ก่อน ควรทานข้าวต้มร้อน ๆ จะช่วยให้ง่ายต่อการขับถ่ายอุจจาระ ถ้าจำเป็นต้องรับประทาน(สาย) ใกล้อาหารมื้อกลางวัน อย่ารับประทานมาก 

อาหารเพล (อาหารมื้อกลางวัน) ควรเป็นอาหารหนัก เช่น ข้าวสวย พร้อมกับข้าวครบ ๕ หมู่ เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานมาก และควร    รับประทานให้เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย 

    ๒. ขับถ่าย อุจจาระ ปัสสาวะ สม่ำเสมอทุกวัน

๓. ใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสม กับฤดูกาล เช่น หน้าหนาวก็ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ สวมหมวก ถุงมือ ถุงเท้าขณะนอนตอนกลางคืนควรห่มผ้าปิดถึงอก

๔. ออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายกลางแจ้งทุกวัน

๕. รักษาความสะอาดของสถานที่พักอาศัย เพื่อช่วยให้สิ่งแวดล้อมดี อากาศดี

๖. รักษาอารมณ์ให้ปลอดโปร่ง แจ่มใสตลอดทั้งวัน และอย่าลืมนั่งสมาธิทุกวัน

๗. พักผ่อนให้เพียงพอ เหมาะสมกับเพศ และวัยไม่ควรนอนดึกเกิน ๒๒.๐๐ น. ติดต่อกันหลายวัน

๘. มีท่าทาง และอิริยาบถที่ถูกต้องเหมาะสม ในการทำงานในชีวิตประจำวัน

หลัก 8 ประการของการดูแลรักษาสุขภาพ

วิธีดูแลสุขภาพ

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดื้อโรคยา

หากทุกคนปฏิบัติตามนี้ได้ย่อมจะมีสุขภาพแข็งแรง แม้ว่าตอนเริ่มต้นจะรู้สึกว่าทำยาก แต่จงจำไว้ว่าร่างกายเป็นเสาหลักที่ทำให้เราประสบ จึงต้องดูแลรักษาร่างกายซึ่งเปรียบเสมือนสิ่งล้ำค้าไว้ อาจจะต้องบังคับตัวเองบ้างก็มิใช่เรื่องยากเกินไป

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดิอโรคยา

ทุกวันนี้เวลาไปเดินตามห้างสรรพสินค้าที่มีสถานที่ออกกำลังกายตั้งอยู่ เมื่อลองมองเข้าไปเราจะเห็นได้ว่า มีคนหลากหลายวัยทั้งหญิงและชาย เข้าไปใช้บริการกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่คนยุคใหม่หันมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น แต่ความจริงแล้ว การออกกำลังกายแต่เพียงอย่างเดียว อาจไม่สามารถตอบโจทย์สุขภาพดีได้ทั้งหมด

เมื่อใดก็ตามที่เรามุ่งเน้นการออกกำลังกาย สร้างกล้ามเนื้อ เผาผลาญไขมันอย่างหนัก แต่กลับยังมีพฤติกรรมการกินอยู่และการพักผ่อนที่ไม่เหมาะสม เช่น หลังออกกำลังกายอย่างหนัก สูญเสียเหงื่อมาก จึงทดแทนด้วยน้ำหวาน-เย็นขวดใหญ่ และ อาหารมื้อหนักที่อุดมด้วยเนื้อสัตว์แต่ขาดไฟเบอร์และวิตามิน-แร่ธาตุจากผักผลไม้ หรือบางท่านออกกำลังกายจัดหนักในเวลาค่ำยันดึก ที่ควรเป็นเวลาพักผ่อนนอนหลับมากกว่า

เพราะฉะนั้นหากต้องการมีสุขภาพดีแบบองค์รวม เรามีเคล็ดลับดีๆ ของหมอแดงมาฝากให้ลองนำไปปฏิบัติกัน นอกเหนือจากการออกกำลังกาย ดังนี้

1. ควรดื่มน้ำให้พอเพียงในแต่ละวัน ร่างกายประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ เลือดประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ถ้าขาดน้ำ เลือดก็จะข้น หนืด ไหลเวียนไม่สะดวก หัวใจก็จะต้องทำงานหนักเพราะต้องปั๊มเลือดที่หนืดข้นไปเลี้ยงร่างกาย ตับไตก็จะทำงานหนัก ในการขับกรองของเสียออกจากเลือดที่หนืดข้น

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดิอโรคยา

การดื่มน้ำที่ถูกวิธี

– หลังตื่นนอนดื่ม 2-3 แก้ว ช่วยให้เลือดไม่หนืด และกระบวนการขับของเสียทำงานได้ดีขึ้น

– ระหว่างวันดื่มให้ได้ วันละ 1.5-2 ลิตร โดยวิธีการแบ่งดื่มครั้งละประมาณครึ่งแก้ว แต่ดื่มบ่อยๆ

– ก่อนและหลังอาหาร 30 นาที ไม่ควรดื่ม หากกระหายให้ใช้การจิบ เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร

*** หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นจัด น้ำเย็นจัดจะลงไปดับไฟย่อยอาหาร (เจือจางน้ำย่อย) จนไฟมอด อาหารจึงไม่ย่อย พากันหมักจนเป็นแก๊สพิษขึ้นมา เผาปาก เผาคอ เผาต่อมไทรอยด์ ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นแผลในปากคอ มีกลิ่นปาก ***

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดิอโรคยา

2. อาหารเช้าคือมื้อที่สำคัญที่สุด ตามหลักนาฬิกาชีวิต ควรรับประทานมื้อเช้าในเวลา 7-9 โมงเช้า เพราะเป็นเวลาที่พลังชีวิตเดินผ่านเส้นลมปราณกระเพาะอาหาร…การทานอาหารเวลานี้ จะทำให้ร่างกายได้รับคุณค่าจากสารอาหารอย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด คนที่ไม่ชอบทานอาหารมื้อเช้า มักทำร้ายร่างกายโดยไม่ตั้งใจเพราะ 

การอดอาหารในเวลาที่ร่างกายต้องการอาหารอย่างมาก นานวันเข้า จะทำให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ เกิดการป่วยด้วยโรคต่างๆ เพราะอวัยวะภายในเสื่อมและหย่อนพิการลง จึงไม่ต้องแปลกใจว่า คนที่ไม่ชอบทานอาหารเช้า แต่ทดแทนด้วยกาแฟและอาหารที่ไม่มีประโยชน์ จะมีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ อ่อนเพลียเรื้อรัง โรคกระเพาะถามหา และโลหิตจาง ดังนั้นอย่าลืมเติมสารอาหารที่มีประโยชน์ให้กับร่างกายทุกเช้า

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดิอโรคยา

3. ลดการบริโภคนม และผลิตภัณฑ์จากนม เพราะองค์ประกอบของนมวัวกับนมคนนั้นแตกต่างกันมาก นมวัวมีแคลเซียมมากกว่านมคนประมาณ 4 เท่า มีโปรตีนมากกว่า 3 เท่า แต่มีคาร์โบไฮเดรตเพียง 2 ใน 3 ของนมคน โครงสร้างและอัตราการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน ระหว่างลูกวัวกับทารก ทำให้องค์ประกอบเหล่านี้ มีสัดส่วนแตกต่างกัน

นมวัวเหมาะที่จะใช้เลี้ยงลูกวัว ซึ่งมีน้ำหนักแรกเกิดถึง 40 กิโลกรัม แค่อายุ 2 ปี น้ำหนักก็ขึ้นได้ถึง 900 กว่ากิโลกรัม ส่วนทารกมีน้ำหนักแรกเกิด 2 – 3 กิโลกรัม อยู่จนอายุ 20 ปี น้ำหนักตัวเฉลี่ยก็เพียง 68 กิโลกรัม ซึ่งเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันมาก

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดิอโรคยา

 4. รับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง ทานผักให้มากขึ้น โครงสร้างของมนุษย์ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ เป็นสัตว์ประเภท กินผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืชเป็นอาหาร เพราะลำไส้ยาวกว่าสัตว์กินเนื้อมาก แต่น้ำย่อยมีความเข้มข้นน้อยกว่าถึง 20 เท่า การบริโภคเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ที่มาจากเนื้อสัตว์มากเกินไป ทำให้เส้นทางเดินอาหารอ่อนแอลง นำไปสู่ความผิดปกติของลำไส้ในแบบต่างๆ โปรตีนจากสัตว์เริ่มเน่าทันทีเมื่อสัตว์ถูกฆ่า ซึ่งผิดกับโปรตีนของพืชผักและธัญพืช จะไม่เน่าเสียก่อนที่จะกิน การแช่ตู้เย็น หรือสารกันบูดก็พอจะช่วยให้เนื้อสัตว์ไม่เน่าได้ แต่เมื่อถูกนำมาปรุงอาหารแล้วก็จะเริ่มเน่าเสียแล้ว

นอกจากนี้ยังมีโรคติดเชื้อในเนื้อสัตว์ สารพิษตกค้างในอาหารที่มาจากสัตว์ด้วย สัตว์ที่เลี้ยงเพื่อเป็นอาหารจะถูกเลี้ยงด้วยฮอร์โมนเพื่อจะได้อ้วนเร็วๆ แล้วต้องโตเร็วๆ ด้วย ก็ต้องใช้ยาปฏิชีวนะเร่ง ไก่ซึ่งเคยใช้เวลาเลี้ยง 8 เดือนกว่าจะนำมาขายเป็นไก่เนื้อได้ ในปัจจุบันเขาเลี้ยงกันแค่ 45 วันก็ขายได้ แล้วสารเคมีแปลกปลอมที่เร่งโต และยาปฏิชีวะนะที่สะสมอยู่ในเนื้อสัตว์จะมีมากเพียงใด

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดิอโรคยา

 5. ลดการบริโภคน้ำตาลลง เราทราบกันดีว่าน้ำตาลนั้นให้พลังงานแก่ร่างกาย เมื่อเรารู้สึกเหนื่อยถ้าได้ดื่มอะไรหวานๆ เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน เครื่องดื่มชูกำลังที่วางขายกันดาษดื่น เราก็จะรู้สึกสดชื่นมีกำลัง แต่สักพักก็จะรู้สึกเหนื่อยใหม่ ก็ดื่มกินกันใหม่ โดยไม่ได้คิดถึงโทษจาการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ปกติแล้วเราควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 7 ช้อนชาต่อวัน 

เพื่อไม่ให้ตับอ่อนเราต้องทำงานหนักในการผลิตอินซูลินเพื่อมาจัดการกับน้ำตาล แต่ทุกวันนี้เราบริโภคน้ำตาลกันจนล้น เมื่อน้ำตาลมากเกินไป ร่างกายก็จะจัดการนำไปเก็บไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อในรูปของไขมัน รอเวลาขาดแคลนจึงจะนำออกมาใช้

ไม่ใช่มีแค่โรคเบาหวานอย่างเดียว มีโรคอีกมากมายที่เกิดจาก “ความหวาน” นี้ ความหวานนี้เป็นอาหารที่เชื้อโรคต่างๆ ชอบมาก เชื้อรา แบคทีเรีย จุลินทรีย์ จะพากันเริงร่าเมื่อมีความหวาน สังเกตว่าเมื่อบริโภคหวาน ไม่ว่าจากน้ำตาลโดยตรง หรือจะเป็นผลไม้หวานมากๆ จะมีอาการคัน เชื้อรากำเริบ และจะรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวมาก

รสหวานนั้นเป็นหยาง (ร้อน) เมื่ออาหารที่รับประทานเข้าไปไม่ย่อย และเมื่อไม่ย่อยบวกกับความหวานก็จะเกิดการหมัก กลายเป็นกรด เป็นแก๊สเสียขึ้น และถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย กระแสเลือด เมื่อร่างกายถูกหล่อเลี้ยงด้วยของเสียก็ย่อมเจ็บป่วย

6. ควรเข้านอนไม่เกิน 5 ทุ่ม ปัจจุบันเราต่างพากันขยายเวลากลางวันเข้าไปทดแทนเวลากลางคืน ไม่ยอมหลับยอมนอนกัน ดูทีวี เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ เที่ยวกลางคืน หรือไม่ก็ทำงานกันทั้งคืน แล้วก็มานอนเอาตอนรุ่งสาง โดยมีความคิดว่า มันเงียบดี ไม่มีใครมารบกวน ได้งานเยอะ เห็นมาหลายรายว่าอยู่ได้ไม่กี่น้ำ ทำอยู่ได้ไม่กี่ปี ก็จะค่อยๆ สะสมความเจ็บป่วย มีโรคสะสมเพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งหนักหนาสาหัสนั่นแหละถึงจะรู้สึกตัว

ชีวิตของเรานั้น ต้องมีชีวิตอยู่จนกว่าจะหมดอายุไข เสื่อมตามวัย และเสียชีวิตไปเอง ดังนั้น ต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ดำเนินชีวิตโดยยึดนาฬิกาแห่งชีวิตบ้าง เราควรจะนอนไม่เกิน 5 ทุ่ม

7. เอาพิษออกจากร่างกาย ปัจจุบันนี้เราต้องเผชิญกับ “พิษ” ที่มีอยู่รอบตัวเรา มีทั้งสารพิษ อากาศที่เป็นมลพิษ อาหารที่มีพิษ รวมทั้งพิษที่เราสร้างขึ้นเองในร่างกาย ที่เกิดจากการย่อยไม่ได้ ถ่ายไม่ดี อาหารก็คั่งค้างหมักหมมกลายเป็นสารพิษอยู่ในกระเพาะลำไส้ แล้วถูกดูดซึมเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย เข้าอยู่ในกระแสเลือด ร่างกายจึงอุดมด้วยพิษ การเอาพิษออกจากร่างกายทำให้หลากหลายวิธี เช่น

– สวนล้างลำไส้ พิษที่เยอะที่สุดคือลำไส้ใหญ่ ที่ยาวประมาณ 5-6 ฟุต ถ้าอาหารไม่ย่อยด้วยแล้ว อาหารที่ว่าดีๆ ที่รับประทานเข้าไปก็จะไหลมาคั่งค้างเน่าเหม็นอยู่ที่ลำไส้ใหญ่นี้ ถ้าเป็นไปได้ ลองหาเวลาเข้าคอร์สล้างพิษตับก็เป็นวิธีที่เร็วที่สุด
– อดอาหาร 24 ชั่วโมง โดยดื่มแต่น้ำเปล่า น้ำผลไม้ หรือผลไม้ชนิดเดียวทั้งวัน โดยมากจะใช้ มะละกอ แคนตาลูป หรือฝรั่ง เพื่อกระตุ้นให้กระบวนการขับพิษในร่างกายทำงาน
– นวดกดจุด นวดตัว นวดเท้า การกัวซา (ขูดพิษที่ผิวหนัง) เพื่อขับของเสีย
– รับประทานยาถ่ายหรือยาระบายบ้าง เช่น ส้มแขก มะขามแขก ธรณีสัณฑะฆาต จตุผลาธิกะ ตรีผลา หรือเบญจพันธุ์
– ทำ Oil Pulling

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดิอโรคยา

8. อย่าลืม แบ่งเวลาเพื่อออกกำลังกายในแต่ละวันแต่พอดี ไม่หักโหมหรือละเลย และหมั่นสร้างความดี ทำให้จิตใจสบาย ถ้ามีความเกลียดชังในหัวใจ โรคภัยจะมาเยือน

หากทุกคนปฏิบัติตามนี้ได้ย่อมจะมีสุขภาพแข็งแรง แม้ว่าตอนเริ่มต้นจะรู้สึกว่าทำยาก แต่จงจำไว้ว่าร่างกายเป็นเสาหลักที่ทำให้เราประสบ จึงต้องดูแลรักษาร่างกายซึ่งเปรียบเสมือนสิ่งล้ำค้าไว้ อาจจะต้องบังคับตัวเองบ้างก็มิใช่เรื่องยากเกินไป 

ถ้ายืนหยัดทำอย่างนี้อย่างต่อเนื่อง ปรับเปลี่ยนจนเกิดความเคยชิน การมีสุขภาพดีก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายและติดเป็นนิสัย ทั้งนี้เพราะร่างกายของเราจะตอบสนองต่อตัวเราเอง

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดิอโรคยา

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดื้อโรคยา

วิธีดูแลสุขภาพ

คำแนะนำ 7 ข้อ ให้ผู้ปกครองดูแลสุขภาพจิตเด็ก ในสถานการณ์โควิด-19

ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลายคนต่างหันมาดูแลรักษาความสะอาด กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง รวมถึงไม่นำตัวเองออกไปอยู่ในสถานที่เสี่ยงตามนโยบาย #อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ สำหรับผู้ใหญ่แบบเรา คงจะเข้าใจในสถานการณ์ขณะนี้ดี แล้วเด็กล่ะ? เราจะมีวิธีดูแลสุขภาพจิตเขาอย่างไรในช่วงการระบาดนี้

21 เมษายน 2563 อ.นพ.สมบูรณ์ หทัยอยู่สุข ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เผยคำแนะนำสำหรับผู้ปกครองเพื่อการดูแลสุขภาพจิตเด็ก ในสถานการณ์โควิด-19 ดังนี้

1.ทำให้เด็กรับรู้ว่า เด็กคือคนสำคัญที่สุดสำหรับพ่อแม่เสมอ

2.มองวิกฤตโควิด-19 เป็นโอกาสครอบครัวได้ใช้เวลาดีๆ ร่วมกันทำกิจกรรมที่สนุก ลดเวลาหน้าจอ

3.คิดถึงกิจกรรมร่วมกัน ทำตารางกิจกรรมเหมือนที่โรงเรียน เพื่อฝึกทักษะและระเบียบวินัย

4.สอนเรื่องโควิด-19 เด็กเล็ก เน้นสอนให้สนุก มีจินตนาการ ส่วนเด็กโต เน้นความจริง ใช้เหตุผล ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ตีตราล้อเลียนผู้ป่วยโควิด-19

5.ผู้ใหญ่จัดการความเครียด ผู้ใหญ่ต้องเปิดใจ ยอมรับ เป็นแบบอย่างที่ดีของเด็ก

6.รับฟังเด็ก เพราะเด็กมีความเครียดและความกังวล หากแสดงออกเป็นคำพูดหรือพฤติกรรมไม่เหมาะสม ผู้ใหญ่ต้องรับฟังก่อนแล้วค่อยแนะนำ

7.เลี้ยงเด็กอย่างสร้างสรรค์ ทำดี ชื่นชม ให้รางวัล หากทำไม่ดี ลงโทษอย่างเหมาะสม ไม่ข่มขู่

คำแนะนำ 7 ข้อ ให้ผู้ปกครองดูแลสุขภาพจิตเด็ก ในสถานการณ์โควิด-19

กินอาหารอย่างไร ช่วยบำรุงสมองให้ไบรท์ได้

กินอาหารให้เป็น ก็ช่วยบำรุงสมองให้ไบรท์ได้ ไม่เชื่อลองสิ

กินอาหารอย่างไร ช่วยบำรุงสมองให้ไบรท์ได้ สมอง เรียกได้ว่าเป็นอวัยวะสำคัญอย่างมากในร่างกายของเรา เป็นศูนย์กลางของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานทุกอย่าง การมีสมองที่ฉลาดและสดชื่นแจ่มใสนั้น จะช่วยให้การทำงานและใช้ชีวิตในแต่ละวันเป็นไปอย่างมีความสุข แต่ถ้าหากว่าสมองเกิดความเหนื่อยล้า ขาดสมาธิ หรือมีความจำสั้น มักจะส่งผลเสียต่อการดำเนินชีวิตอย่างมากเลยทีเดียว แต่เราสามารถบำรุงสมองของตนเอง ให้สดชื่นและฉลาดได้ ตามหลักการที่นำมาฝากกันนี้เลย

ทานอาหารที่มีประโยชน์

การทานอาหารที่มีประโยชน์ ถือว่าเป็นหัวใจหลักในการบำรุงสมองเลยทีเดียว เพราะสารอาหารต่างๆ ที่ได้รับเข้าไปในร่างกายนั้นจะเข้าไปบำรุงสมองอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี และธาตุเหล็ก เป็นต้น จะช่วยเสริมสร้างให้การทำงานของระบบสมองมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างความจำดีมากยิ่งขึ้น

หมั่นทานผักและผลไม้

อาหารจำพวกผักและผลไม้ ซึ่งอุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนซ์และสารอาหารจำพวกวิตามินต่างๆ ล้วนมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายและระบบสมองเป็นอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้สมองมีความสดชื่น กระปรี้กระเปร่ามากยิ่งขึ้น  เวลาที่เครียดก็จะช่วยหลั่งสารต้านอนุมูลอิสระออกมา ด้วยเหตุนี้ จะเห็นได้ว่าผู้ที่ชื่นชอบทานผักและผลไม้เป็นประจำ นอกจากสุขภาพผิวดีแล้ว ยังมีความจำดีอีกด้วย

ทานอาหารให้ตรงเวลา

การทานอาหารให้ตรงเวลา เป็นสิ่งที่หลายคนทำได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนี้ ที่มีการใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ และภาระหน้าที่การทำงานมักจะทำให้ทานอาหารไม่ค่อยตรงเวลาสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรนำมาเป็นข้ออ้าง หากอยากจะบำรุงสมองและร่างกายให้มีสุขภาพดี ก็ควรใส่ใจทานอาหารให้ตรงเวลาทั้ง 3 มื้อ ไม่ควรอดมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะอาจส่งผลทำให้สมองอ่อนล้าได้ หรือหากยังไม่สะดวกทานข้าวจริงๆ ก็อาจจะหาของว่างมาทานรองท้องก่อนก็ได้

แบ่งทานเป็นมื้อเล็กๆ

การที่เราแบ่งทานอาหารเป็นมื้อเล็กๆ สัก 5-6 มื้อต่อวัน จะส่งผลดีต่อร่างกายและการทำงานของระบบสมอง เพราะจะช่วยกระตุ้นความกระปรี้กระเปร่าสดชื่นอยู่ตลอดเวลา สมองไม่เกิดความอ่อนล้า มีประสิทธิภาพในการทำงานอยู่เสมอ นอกจากนี้แล้ว ประโยชน์ของการทานอาหารมื้อเล็กๆ ยังช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย

เคล็ดลับในการกินอาหารบำรุงสมองที่เรานำมาฝาก เรียกได้ว่าเป็นวิธีสุดเบสิกที่สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน และเห็นผลลัพธ์ที่ดีเริ่ดได้จริงๆ  คุณเองก็สามารถเติมสิ่งดีๆ ให้กับสมองได้ ว่าแล้วก็อย่าลืมทำตามดู

5 เคล็ดลับควรทำ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี อายุยืนยิ่งขึ้น

5 เคล็ดลับควรทำ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี อายุยืนยิ่งขึ้น

การมีสุขภาพที่ดีจะนำมาซึ่งความสุขและความห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บมากขึ้น แต่ในปัจจุบันนี้การใช้ชีวิตของคนเรามักจะหันมาให้ความสนใจในสิ่งยั่วยุที่ทำให้สุขภาพเสื่อมโทรมได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน การเล่นสื่อโซเซียลมากเกินไปจนทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อนและออกกำลังกาย แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้มีผลทำให้สุขภาพของเราทรุดโทรมลงได้ แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ไข หากลองทำตาม 5 เคล็ดลับนี้ล่ะก็ จะทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีและอายุยืนยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

1.เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์

อาหารเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย การเลือกรับประทานอาหารจึงมีความสำคัญอย่างมาก โดยเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเอง ซึ่งจะเน้นไปที่ผัก ผลไม้เป็นหลัก และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาล ไขมันสูง ก็จะช่วยให้มีสุขภาพที่ดีและอายุยืนยาวมากยิ่งขึ้น

2.บริหารสมอง

สมองของคนเราหากมีการบริหารและกระตุ้นอยู่เสมอจะช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้นด้วย ทั้งยังช่วยลดการหลงๆ ลืมๆ หากระบบประสาทของคนเรามีการใช้งานบ่อยๆร่างกายก็จะหลั่งสารเคมีบางอย่างช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้สุขภาพจิของเราดีและส่งผลให้สุขภาพกายดีด้วย

3.การพักสายตาจากสื่อโซเซียลต่างๆ

ทุกวันนี้ยอมรับเลยนะว่าสื่อโซเซียลมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของคนเราอย่างมาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ถ่ายรูป แชร์ข้อมูลต่างๆ ซึ่งทุกคนก็รู้ดีว่ามันมีผลต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง ทั้งทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า ตาแห้ง สายตาพร่ามั่ว หากเล่นไปนานๆก็จะส่งผลให้มีอาการเบลอร่วมด้วย หากเรารักสุขภาพกันควรพักสายตาบ้าง เช่น มองวัตถุที่อยู่ไกลอยู่ใกล้ เดินไปชมต้นไม่สีเขียว กลอกตา กระพริบ เพื่อบริหารกล้ามเนื้อตา และควรเล่นให้เป็นเวลา ลดการใช้งานโซเซียลลง

4.ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายนอกจากจะช่วยให้สุขภาพดีแล้ว ยังช่วยให้เรามีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งยังทำให้สุขภาพจิตดีตามด้วย ออกกำลังกายวันละนิดละหน่อยก็ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้ แต่หากไม่มีเวลาการทำงานบ้านก็ช่วยได้เหมือนกัน 

5.พักผ่อนให้เพียงพอ

การพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของเราอย่างมาก เพราะร่างกายของคนเราต้องได้รับการพักผ่อนวันละ 8 ชั่วโมง หากนอนดึกเกินไปหรือนอนไม่เป็นเวลาก็จะทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าได้ง่าย ส่งผลให้สุขภาพของเราทรุดโทรมไปด้วย ฉะนั้นควรพักผ่อนให้เพียงพอ จะทำให้ร่างกายเราสดชื่น ตื่นตัวตลอดทั้งวัน และสุขภาพของเราก็จะดีตามไปด้วย

วิธีที่จะช่วยให้สุขภาพร่างกายของเราดีขึ้น สร้างได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากอยู่ที่ความพยายามและการเปลี่ยนแปลงตัวเองของทุกคน ลองพยายามดูสักนิดสุขภาพเราดีขึ้นแน่นอน

5 เคล็ดลับควรทำ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี อายุยืนยิ่งขึ้น

บทความการรักษาสุขภาพ

7 วิธีดูแลสุขภาพกายและใจเพื่อชีวิตสดใส

7 วิธีดูแลสุขภาพกายและใจเพื่อชีวิตสดใส

หลายคนอาจจะคิดว่าความร่ำรวยเงินทองคือ บ่อเกิดของความสุข แต่คุณจะมีความสุขกับเงินที่หามาได้อย่างไร หากสุขภาพไม่เอื้ออำนวย ต้องเข้าโรงพยาบาลไปพบหมอมากกว่าได้เดินทางไปแหล่งท่องเที่ยว สุขภาพจึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องให้ความสำคัญทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ซึ่งก็สามารถทำได้ดังต่อไปนี้

1.ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และทานให้ตรงเวลา

ในทุก ๆ มื้อพยายามทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่อย่างพอเพียงตามความต้องการของร่างกาย และควรทานให้ตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน โดยมื้อเช้าถือว่าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดจึงไม่ควรที่จะงด ส่วนมื้อเย็นควรทานแต่น้อยและไม่ควรทานหลัง 6 โมง เพราะหากทานดึกเกินไปใกล้เวลานอน อาจทำให้ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่

2.ดื่มน้ำให้พอเพียง

พยายามดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว เพราะการดื่มน้ำอย่างพอเพียงมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ทั้งในเรื่องของสุขภาพและความสวยความงาม ไม่ว่าจะเป็นช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตเป็นไปอย่างปกติ ช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื่น ดูสดใสเปล่งปลั่ง

3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ควรหาเวลาออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที นอกจากการออกกำลังกายจะช่วยให้สดชื่นผ่อนคลายแล้ว ยังช่วยให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง ช่วยให้ปอดและหัวใจทำงานได้ดี อีกทั้งยังช่วยสลายไขมัน ซึ่งจะช่วยลดความอ้วนได้อีกด้วย

Advertisement

4.นอนหลับพักผ่อนอย่างพอเพียง

นอนหลับพักผ่อนให้ได้วันละ 6-8 ชั่วโมง การนอนหลับพักผ่อนอย่างพอเพียงไม่เพียงแต่ร่างกายจะซ่อมแซมตัวเองได้อย่างเต็มที่เท่านั้น แต่ยังทำให้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นแจ่มใส มีพลังในการทำงานและการใช้ชีวิต

5.หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ

เป็นที่รู้กันว่า การสูบบุหรี่และดื่มเหล้านั้นเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งตับ มะเร็งปอด การหลีกเลี่ยงหรือพยายามลด ละ เลิก พฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพเหล่านี้จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่จะทำให้คุณมีสุขภาพดีขึ้น เพราะหากคุณไม่รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายก็ย่อมเป็นการลดปัจจัยที่จะมาทำลายสุขภาพของคุณนั่นเอง

6.รักษาสุขภาพจิตให้ดี

การมีสุขภาพจิตที่ดีย่อมส่งผลให้สุขภาพร่างกายดีไปด้วย และการมีสุขภาพจิตที่ดีนั้นก็สามารถทำได้โดยการทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่บวกอยู่เสมอ หากิจกรรมที่ชอบทำ ฝึกสมาธิปฏิบัติธรรม เป็นต้น

7.ให้เวลากับคนในครอบครัว

ความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัว เป็นแหล่งที่มาอีกแห่งหนึ่งของความสุข การให้ความสนใจกับธุระการงานจนลืมที่จะแบ่งเวลาให้กับคนในครอบครัวย่อมทำให้ความสุขในครอบครัวลดน้อยลง ใส่ใจกับครอบครัวให้มากขึ้น สร้างความสมดุลให้กับชีวิตส่วนตัวและการทำงาน เท่านี้คุณก็หาความสุขได้ในทุก ๆ วันได้แล้ว

สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์และการมีสุขภาพจิตที่ดี ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณสามารถสัมผัสกับความสุขที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างเต็มที่เท่านั้น แต่มันยังเป็นแหล่งกำเนิดของความสุขด้วยตัวของมันเอง และมันคงไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไรถ้าคุณจะหันมาใส่ใจกับสุขภาพเสียแต่บัดนี้ เพื่อที่คุณจะได้มีความสุขได้มากขึ้นในทุกวันที่ผ่านไป

7 วิธีดูแลสุขภาพกายและใจเพื่อชีวิตสดใส

อาหารลดน้ำหนัก การดูแลสุขภาพ

ลดน้ำหนักด้วยการ “นับแคล”

การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวไม่ได้แล้ว แต่หนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้มีร่างกายที่ผอมเพรียว หรือมีน้ำหนักที่ลดลงได้กลับกลายเป็นการควบคุมอาหารด้วยวิธีการที่เรียกว่า “นับแคล” หรือ “นับแคลอรี่ของอาหารที่รับประทานเข้าไป” วิธีการที่ว่านี้ต้องทำอย่างไร แล้วจะได้ผลดีจริงหรือไม่ มาหาคำตอบด้วยกันดีกว่าค่ะ

ลดน้ำหนักด้วยการ "นับแคล"

โดยเฉลี่ยแล้ว ใน 1 วัน คนเราจะต้องรับประทานอาหารวันละประมาณ 2,200 กิโลแคลอรี่ แต่ก็มีความแตกต่างกันเล็กๆน้อยๆตามเพศ อายุ หรือกิจกรรมที่ทำระหว่างวัน ทีนี้…หากเราต้องการจะลดน้ำหนักให้ได้ 1 กิโลกรัม เราจำเป็นต้องเผาผลาญพลังงานให้ได้ถึงประมาณ 7,700 กิโลแคลอรี่ ซึ่งการที่จะทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ให้ได้สูงเช่นนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยการ ‘นับแคล‘ เข้ามาช่วย

เคล็ดลับการนับแคลอรี ดังนี้

  • การใช้ตาชั่งวัดปริมาณแคลอรี่
    วิธีนี้เชื่อถือได้มากที่สุด เพราะตาชั่งจะไม่หลอกเรา หากคุณทำอาหารทานเองที่บ้าน การใช้ตาชั่งน่าจะเป็นวิธีที่เวิร์คที่สุดในการกำหนดปริมาณแคลอรี่ที่ควรจะได้รับในแต่ละมื้อ
  • กะปริมาณด้วยมือตัวเอง
    วิธีนี้สามารถทำได้จริงทุกที่ หากคุณยังไม่มีเครื่องชั่งที่ได้มาตรฐาน แค่ลองกะคร่าวๆ ก็น่าจะช่วยให้การนับแคลอรี่ง่ายขึ้นได้ การกะประมาณด้วยสายตามีหลักการดังต่อไปนี้ค่ะ
    – ฝ่ามือเรา (นิ้วไม่เกี่ยว) ประมาณ 3 ออนซ์
    – กำปั้นเรา ประมาณ 1 ถ้วยตวง
    – อุ้งมือ ประมาณ 1ออนซ์
    – นิ้วโป้ง ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ
    – ปลายนิ้วโป้ง ประมาณ 1 ช้อนชา
ลดน้ำหนักด้วยการ "นับแคล"
  • สอบถามรายละเอียดอาหาร
    แม้วิธีนี้จะทำให้คุณดูเหมือนเป็นคนที่เรื่องมาก แต่มันก็ช่วยคุณได้เยอะเลยทีเดียว เพราะการดูแค่เมนูอาหารอาจไม่ได้ทราบถึงส่วนผสมที่แน่ชัด ดังนั้น หากคุณสามารถถามหรือสั่งแบบเจาะจงได้ ก็จะดีมากกว่า ลองถามพนักงานไปเลยว่า “ใช้เนื้อส่วนไหน” “ติดมันเยอะมั้ย” หรือ “ใส่อะไรบ้าง” คุณจะได้กะปริมาณการบริโภคได้ถูกต้องตามแคลค่ะ

การลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และไม่มีทางประสบผลสำเร็จได้ภายในระยะเวลาเพียงสั้นๆเพียงไม่กี่สัปดาห์ หากต้องการให้รูปร่างกระชับและผอมลงได้ คุณจำเป็นต้องใช้เวลากับมันอย่างน้อยๆ 3เดือนขึ้นไป ซึ่งหลังจากที่คุณบากบั่นนับแคลอย่างต่อเนื่อง คุณก็จะเห็นถึงผลลัพธ์ของการมีหุ่นผอมเพรียวได้อย่างชัดเจน เพราะหากคุณสามารถทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ทุกวัน รับรองว่าจะมีน้ำหนักตัวที่ลดลงเรื่อยๆได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม อย่าลืมที่จะออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กล้ามเนื้อควบคู่ไปด้วย เพราะนั่นถือเป็นการผอมแบบมีสุขภาพดีมากที่สุด

วิธีลดความอ้วนโดยที่ไม่ต้องอดอาหาร

การทานอาหารที่น้อยลง หรือการอดอาหาร ไม่ใช่วิธีเดียวในการลดความอ้วน การดูแลตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจ รวมไปถึงการทานอาหารอย่างถูกต้องตามหลักโภชนาการเป็นวิธีที่ดีกว่านั้น เราเลยขอแนะนำทางเลือกอื่นๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป นอกจากผอมลงแล้วยังสุขภาพดีด้วย

วิธีลดความอ้วนโดยที่ไม่ต้องอดอาหาร
  • จดบันทึกเมนูที่ทานในแต่ละวัน การจดบันทึกสิ่งที่ทานในแต่ละวันจะช่วยให้เรามองเห็นพฤติกรรมการทานอาหารของตัวเอง มองเห็นภาพรวมของเมนูอาหารที่ทานเข้าไป
  • วางโทรศัพท์และคุยกับคนรอบตัวขณะทานอาหาร การทานอาหารโดยทำกิจกรรมอื่นขณะทานไปด้วย เช่น ดูโทรทัศน์ เล่นโทรศัพท์ จะทำให้คุณทานอาหารในปริมาณมากขึ้น
  • ทานอาหารให้ช้าลง การทานอาหารช้าๆ จะช่วยให้ทานน้อยลง รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ที่สำคัญคือช่วยให้ร่างกายสามารถย่อย และดูดซับสารอาหารทั้งหมดได้ดีขึ้น
  • นอนหลับให้เพียงพอคนวัยทำงานควรนอนวันละ 7 – 9 ชั่วโมง เนื่องจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอจะไปลดประโยชน์ของการควบคุมอาหาร ทำให้ระบบในร่างกายรวน
  • ดื่มน้ำให้มากขึ้น ผู้ชายควรดื่มน้ำวันละ 13 แก้ว ส่วนผู้หญิงควรดื่มน้ำวันละ 9 แก้ว ซึ่งการดื่มน้ำให้มากขึ้นจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น
  • ทานผักเยอะขึ้น ผักเป็นอาหารที่เต็มไปด้วยสารอาหารและวิตามิน นอกจากจะช่วยลดน้ำหนักได้แล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และป้องกันโรคมะเร็งบางประเภทได้อีกด้วย
วิธีลดความอ้วนโดยที่ไม่ต้องอดอาหาร
วิธีลดความอ้วนโดยที่ไม่ต้องอดอาหาร
  • รักษาสุขภาพจิต สุขภาพจิตก็เป็นเรื่องสำคัญ การที่คนเราไม่แสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ แต่เก็บความเครียดไว้ข้างใน มีแต่จะทำให้เครียดมากขึ้น การระบายออก หรือหากมีอาการเครียดสูง
  • เคลื่อนไหวร่างกาย และยืดกล้ามเนื้อ การขยับร่างกายหรือยืดกล้ามเนื้อบ้างจึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง จะช่วยให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นแล้ว
  • ทำอาหารไปทานเอง การทำข้าวกล่องไปทานเองจะช่วยให้เราสามารถควบคุมอาหารได้ เลือกสิ่งที่มีประโยชน์ และจะช่วยทรงเสริมให้รูปร่างของตัวเองดีขึ้น
  • เมื่ออิ่มแล้วให้หยุด เราอยากให้ทุกคนมีสติให้มากๆ ทานแต่พอดี หากทานอิ่มเมื่อไหร่ให้หยุด โดยไม่ต้องเสียดาย
  • ทานผลไม้สดแทนการดื่มน้ำผลไม้ การทานผลไม้สดๆ ก็ย่อมได้รับสารอาหารมากกว่าการดื่มน้ำผลไม้เพราะบางชนิดยังผสมน้ำและน้ำตาลมาก
  • วัดสัดส่วนของตัวเอง น้ำหนักกับสัดส่วนเป็นคนละเรื่องกัน บางทีน้ำหนักไม่ลด แต่สัดส่วนลดลงก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ดังนั้นการวัดสัดส่วนอย่างเป็นประจำจะช่วยให้เห็นพัฒนาการของตัวเอง
วิธีลดความอ้วนโดยที่ไม่ต้องอดอาหาร

10 วิธี หุ่นสวยด้วยหลักโภชนาการ

เมื่อประสบปัญหาสุขภาพคนส่วนมากคงเลือกปรึกษาเพื่อน ครอบครัว หรือโลกโซเชียลมีเดีย เวลาที่อยากรู้เกี่ยวกับการดูแลรูปร่าง อยากเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การรับประทานอาหาร หรือโภชนาการส่วนตัว แต่บางครั้งคำตอบที่ได้รับกลับทำให้สับสนและไม่แน่ใจยิ่งกว่าเดิมว่าควรเลือกวิธีการดูแลรูปร่างแบบไหนถึงจะดีต่อสุขภาพ

1 – อย่ามองแต่น้ำหนักตัว แต่ควรใส่ใจมื้ออาหารที่มีประโยชน์ “เราไม่ควรสนใจแค่น้ำหนักตัวอย่างเดียว แต่ควรให้ความสำคัญกับสุขภาพมากกว่า การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
2 – ตั้งเป้าหมายแต่ละขั้นและให้รางวัลตัวเองในช่วงลดน้ำหนัก การให้รางวัลตัวเองเมื่อทำแต่ละเป้าหมายได้สำเร็จ สำคัญต่อความตั้งใจลดน้ำหนักของคุณ เพราะมันช่วยให้คุณรู้ว่าคุณมาไกลแค่ไหนแล้ว
3 – อย่าตกเป็นเหยื่อทำตามสูตรลดอาหารแบบผิดๆ หรือตามกระแสสังคม ลองมองหาวิธีลดน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพและสมดุลที่เหมาะกับตัวคุณเอง “สูตรการรับประทานอาหารแบบผิดๆ (Fad diets) อาจช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ แต่ก็แค่ชั่วคราวและไม่ใช่วิธีลดน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพ
4 – ร่างกายต้องได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ “โปรตีนเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการต่าง ๆ ของร่างกาย อีกทั้งมีส่วนช่วยสร้างและรักษามวลกล้ามเนื้อ
5 – รับประทานของว่างที่ดีต่อสุขภาพ “ทุกวันนี้ ขนมหรือของว่างคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของปริมาณพลังงานที่ร่างกายได้รับในแต่ละวัน และของว่างที่มีประโยชน์ต่อร่างกายก็เป็นส่วนสำคัญของมื้ออาหารที่สมดุล
6 – อย่าลดแคลอรี่จนเหลือน้อยเกินไป หรืออดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก “การควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนักหรือไดเอท ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรากินไป “มากเท่าไหร่” แต่ขึ้นอยู่กับเรากิน “อะไร” เพราะอาหารที่เราเลือกกินส่งผลมากที่สุดต่อปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับ
7 – ตั้งเป้าออกกำลังกายแบบพอดีๆ อย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน “ประโยชน์ดีๆ ของการออกกำลังกายเป็นประจำคือ ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ ซึ่งช่วยให้น้ำหนักลดลงและทำให้คุณดูแลรักษาน้ำหนักได้ดี
8 – หัดทำอาหารง่ายๆ และดีต่อสุขภาพ “การเตรียมมื้ออาหารล่วงหน้าจะช่วยให้คุณกำหนดวัตถุดิบที่คุณต้องซื้อมาเก็บไว้ในตู้เย็นและในครัว เพื่อที่คุณจะสามารถทำอาหารได้เร็วทันใจและดีต่อสุขภาพได้
9 – ควบคุมสัดส่วนอาหารในแต่ละมื้อให้ดี “การควบคุมสัดส่วนอาหารในแต่ละมื้อเป็นตัวช่วยสำคัญของการดูแลรักษาน้ำหนัก ถ้าเราหัดจัดสัดส่วนอาหารในหนึ่งจานให้ดี เราก็จะลดแคลอรี่ที่ร่างกายจะได้รับไปด้วย
10 – อ่านฉลากโภชนาการให้เป็น “การรู้ว่าอาหารและเครื่องดื่มที่คุณบริโภคมีส่วนประกอบอะไรบ้างสำคัญมากเมื่อคุณต้องการดูแลน้ำหนัก ซึ่งการอ่านฉลากโภชนาการให้เป็นจะช่วยคุณได้เยอะ

7 เมนูกินลดพุง มื้อเย็นแคลอรี่ต่ำ ตื่นมาหน้าท้องแบนราบ!

สำหรับผู้หญิงที่กำลังมีปัญหาเรื่องพุงยื่นย้วย หน้าท้องป่องเหมือนคนท้องสามเดือน แม้ว่าคุณจะไม่ได้เป็นคนอ้วนมากมายอะไร แต่รูปร่างไม่เข้าที่เอาซะเลย ทำไงดี?

งานนี้คงต้องหาเวลาไปออกกำลังกายเบิร์นไขมันด่วนๆ และยังต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินด้วย เพราะอาหารที่คุณกินเข้าไปแต่ละวันอย่างพวกของทอด กาแฟ ชานมไข่มุก ฯลฯ เป็นตัวการทำให้หุ่นพังแบบไม่รู้ตัว วันนี้เราจะมาแนะนำอาหารที่สาวๆ ควรทานเป็น ‘มื้อเย็น’ อร่อย ย่อยง่าย แคลอรี่ต่ำ ตื่นมาพุงยุบ ใส่เสื้อผ้าสวยได้ดั่งใจ

1. โยเกิร์ต

โยเกิร์ตเป็นแหล่งพลังงานที่ดี มีแคลเซียมสูง แถมยังมีแบคทีเรียชนิดดี ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย ช่วยให้ขับถ่ายได้สะดวก กินโยเกิร์ตอย่างเดียวอาจจะไม่อยู่ท้อง แนะนำให้กินคู่กับผลไม้ต่างๆ เช่น กล้วยหอม แอปเปิ้ล หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ และยังสามารถใส่มูสลี่ อัลมอนด์ วอลนัต ฯลฯ เพิ่มเข้าไป ช่วยให้อิ่มท้องและเพิ่มสารอาหารให้ร่างกาย

2. สเต็กปลา/ปลาย่าง

มื้อเย็นควรกินระหว่างหกโมงเย็น ไม่ควรเกินหนึ่งทุ่ม เพื่อให้ร่างกายย่อยอาหารได้ดีที่สุด และควรเป็นเมนูที่มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ แนะนำเป็นสเต็กปลาแบบฝรั่ง หรือปลาย่างกินคู่กับผักต้มและน้ำพริกก็ได้ ไม่ต้องมีข้าวก็อิ่มอยู่ท้อง (แต่ถ้ามันไม่อิ่มจริงๆ ก็สามารถทานข้าวได้ 1 ทัพพี)

3. อกไก่ย่าง/อกไก่นึ่ง

อกไก่ก็เป็นอีกอย่างที่สาวๆ สายคลีนเขากินกันเป็นประจำ บางทีการกินแต่สลัดผักเป็นมื้อเย็นอย่างเดียว มันก็ไม่อิ่ม (บางทีน้ำสลัดแบบครีมก็ทำให้อ้วนด้วย) พอดึกๆ มาก็หิวอีก ไม่ดีๆ ควรกินมื้อเย็นให้อิ่มไว้เลยดีกว่า แนะนำเป็น อกไก่ย่างหรืออกไก่นึ่ง กินกับผักต้ม เช่น แครอท ฟักทอง บล็อกโคลี ดอกกะหล่ำ ฯลฯ เอามาจิ้มกินกับน้ำสลัดแบบใส แคลอรี่น้อยๆ เบาๆ 

4. ไข่ต้ม+ผักผลไม้ต่างๆ 

แต่ถ้าใครที่อยากลดพุงแบบเร่งด่วน ก็ต้องจัดมื้อเย็นแบบเคร่งครัด! ลองเมนูเซตนี้นะคะสาวๆ ไข่ต้ม 2 ฟอง กินพร้อมกับผักผลไม้ต่างๆ ที่ชอบ เช่น กล้วยหอม แอปเปิ้ล ฝรั่ง ชมพู่ แคนตาลูป ฟักทองต้ม มันหวานต้ม เป็นต้น

5. ควินัวร์

ควินัวร์เป็นธัญพืชที่มีประโยชน์เยอะมาก โด่งดังในแวดวงของอาหารคลีน นิยมนำมารับประทานแทนข้าว เพราะมันมีใยอาหารสูง แคลอรี่ต่ำ และยังมีสารอาหารจำเป็นต่างๆ มากมาย แนะนำให้ลองทำเป็นข้าวผัดควินัวร์ หรือสลัดควินัวร์ (ใส่น้ำสลัดแบบน้ำใสนะจ๊ะ)

6. ยำแซ่บๆ

ส่วนใครที่รู้สึกว่าอาหารลดน้ำหนักมันจืดชืด ไม่ใช่เสมอไป! คุณสามารถเลือกทานอาหารรสแซ่บอร่อยๆ ได้เช่นกัน เพียงแต่ปรุงรสให้ลดเลเวลความเปรี้ยวความเผ็ดลงมาหน่อย เดี๋ยวจะแสบท้องจนเกินไป

แนะนำเมนู ยำวุ้นเส้น หมูมะนาว หมูคำหวาน ยำคอหมูย่าง ฯลฯ และควรทานคู่กับผักสดด้วย เช่น ก้านคะน้ากรอบๆ แตงกวา ผักกาดแก้ว ก็จะช่วยให้ลดความเผ็ดลงได้ ทำให้อิ่มท้องมากขึ้น และยังเสริมกากใยจากธรรมชาติ ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย 

7. ซุป/เกาเหลา

มาถึงเมนูซุปใสหรือเกาเหลา เรียกว่าเป็นอีกเมนูที่มาช่วยชีวิต ให้มื้อเย็นของคุณอิ่ม อร่อย และไม่อ้วน แนะนำเป็นซุปผัก ซุปไก่ หรือต้มจืดหมูสับตำลึง แต่ถ้าใครอยากกินเกาเหลาก็ควรบอกแม่ค้าด้วยว่า ไม่ใส่กระเทียมเจียวนะจ๊ะ.