การดูแลตนเองให้ดูดีควรทำอย่างไร

การดูแลตนเอง

ในปัจจุบันนี้เรื่องของการออกกำลังกายนั้นเป็นเรื่องที่หลายๆคนเข้ามาให้ความสนใจในเรื่องของการออกกำลังกายกันอย่างมากเลยเพราะการออกกำลังกายถือว่าเป็นการดูแลตนเองที่ดีอีกเรื่องหนึ่งเลย การออกกำลังกายนั้นจะทำให้เรานั้นมีสุขภาพร่างกายที่ดีและแข็งแรง เรื่องของสุขภาพภายในนั้นก็เป็นเรื่องที่ดีและสำคัญอย่างมากที่สุดอีกด้วย

                เรื่องของการดูแลตนเองนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่เราเองควรที่จะให้ความสนใจกันอย่างมากเพราะร่างกายของเราทุกคนนั้นก็ต้องมีการดูแลตนเองให้ได้ดีอย่างมากที่สุด ทุกๆเรื่องราวนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่เราเองไม่ควรที่จะมองข้าม การดูแลสุขภาพของเรานั้นยิ่งเราดูแลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลดีมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

                เรื่องของการดูแลตนเองเชื่อว่าหากเราทำอย่างสม่ำเสมอนั้นก็จะได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจให้กับตัวของเราเองอย่างมากที่สุด เพราะถ้าหากเราตั้งใจที่จะออกกำลังกายเชื่อว่าทุกๆอย่างก็จะนำพาให้เรานั้นประสบความสำเร็จได้ง่ายๆอีกด้วย การออกกำลังกายที่ดีนั้นจะทำให้เราเองมีความสุขและสุขภาพก็ดีไปตามๆกันด้วย

                สุขภาพเป็นเรื่องที่เราจะต้องดูแลเชื่อว่าหากเราดูแลในร่างกายของตนเองร่างกายก็ไม่ต้องพบเจอกับเชื้อโรคต่างๆ ยิ่งเรามีสุขภาพที่ดีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลให้เรานั้นแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ดูมีน้ำมีนวลมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ทุกๆอย่างจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากที่สุดที่เราเองควรที่จะให้ความสนใจในเรื่องของสุขภาพร่างกายของตนเอง

                เรื่องของสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมากที่สุดที่เราเองไม่ควรที่จะมองข้ามเลย ต้องให้การดูแลและใส่ใจอย่างมากถึงจะเป็นเรื่องที่ดีอย่างที่สุด ในบางคนที่ไม่ค่อยดูแลสุขภาพนั้นก็จะทำให้เกิดป่วยบ่อยมากขึ้น ยิ่งป่วยมากเท่าไหร่ก็ทำให้สุขภาพร่างกายของเรานั้นดูแย่ลงมากยิ่งขึ้น

                การที่คนเรามีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงจะทำให้ชีวิตของเรามีความสดใสและแจ่มใสมากกว่าเดิมเราควรที่จะให้ความสนใจและความเข้าใจในเรื่องของสุขภาพถึงจะเป็นเรื่องที่ดีอย่างมากที่สุด ไม่มีใครที่จะสามารถทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงได้นอกจากตัวเราเอง ตัวเราเองจะต้องมีความขยันและแข็งแกร่งเพื่อที่จะได้ร่างกายที่แข็งแรงกลับเข้ามาสู่ร่างกายอีกด้วย เรื่องของสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่เราเองไม่ควรที่จะมองข้ามต้องให้ความสนใจและให้ความสำคัญอย่างมากเลยเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพที่ดี

อาหารเพื่อสุขภาพ ปี 2019 ที่น่าจับตามอง

ยุคสมัยเปลี่ยนไป คนเราไม่ได้มองหาอาหารเพียงเพราะเป็นปัจจัยสี่อีกต่อไปแล้ว เพราะการเลือกรับประทานอาหารสะท้อนไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคด้วย จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจที่จะมี ‘ฟู้ดเทรนด์’ ออกมาในแต่ละปี ต้องบอกเลยว่าเทรนด์ปี 2019 นี้อาหารที่มาแรงก็ยังต้องยกให้อาหารเพื่อสุขภาพ เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่เริ่มหันมาทานอาหารเพื่อสุขภาพเป็นหลัก หรือการกินเพื่อสุขภาพนั่นเอง ปีนี้อะไรมาแรงบ้างตามไปดูกันเลย

จับตา Clean Label จะมาแทนที่ “Natural label”

อาหารที่ผลิตจากธรรมชาติเริ่มไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคอีกต่อไป เพราะผู้บริโภคยุคใหม่ฉลาดเลือก ฉลาดซื้อมากขึ้น เทรนด์ความนิยมสินค้าที่ติดฉลากเป็น Clean Label จึงมาแรง เพราะสินค้าประเภทนี้ต้องระบุถึงส่วนผสมในผลิตภัณฑ์นั้น จะบอกแค่ว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ต้องบอกส่วนผสมอย่างครบถ้วนว่าปราศจากสารสังเคราะห์ สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล สีและกลิ่นสังเคราะห์ รวมไปถึง ผ่านกระบวนการแปรรูปน้อย ใช้ส่วนผสมเรียบง่ายจากธรรมชาติ ซึ่งอาหารเพื่อสุขภาพบางประเภทจะถึงขั้นระบุแหล่งที่มาและกระบวนการผลิตเลยทีเดียว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาอาหารเพื่อสุขภาพอย่างจริงใจ

เทรนด์ Plant Based Food กำลังมา

เพราะจำนวนผู้บริโภค Vegan มากขึ้น นิยามของ Plant Based Food คือ การรับประทานอาหารพืชเป็นหลักในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติ เป็นการทานอาหารเพื่อสุขภาพอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นที่นิยมในหลายประเทศทั่วโลก ผลิตภัณฑ์อาหารที่มาแรงตามเทรนด์นี้ มักมีส่วนประกอบหลักเป็นผลไม้ ผัก ธัญพืช ถั่ว สมุนไพร และสารสกัดจากพืช ซึ่งตอบสนองความเชื่อของผู้บริโภคว่าผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มจากพืชจะสามารถสร้างเสริมให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ ในปี 2019 คนจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ระบุคุณค่าทางอาหารแบบเฉพาะเจาะจงไปมากกว่าแค่คำว่า “vegan” และต่อไปจะมีการเปรียบเทียบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์เพื่อซื้อมาทดลองทาน ถ้าอร่อยก็กินต่อแต่ถ้าไม่ก็มองหาผลิตภัณฑ์อื่นๆ

อาหารพิเศษสำหรับคนพิเศษ

คนพิเศษในที่นี้หมายถึง การผลิตอาหารที่ตอบโจทย์ตามความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการสารอาหารที่แตกต่างกัน เช่นเทรนด์ Personalized Diet หมายถึง อาหารเพื่อสุขภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่กำลังลดความอ้วน อย่างอาหารที่มีปริมาณแป้งและน้ำตาลน้อย เพิ่มโปรตีน ไขมันดี หรือผลิตจากผักผลไม้ เป็นต้น ส่วนเทรนด์ Personalized Nutrition ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากคนทั่วโลก เนื่องจากยอดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตอันเนื่องมาจากโรคในกลุ่มไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ทำให้เกิดการตื่นตัวกับการดูแลวิถีการกินของตัวเองมากขึ้น และผู้ผลิตต่างขยายไลน์การผลิตมาผลิต “สมาร์ทฟู้ด” เพื่อตอบสนองผู้ป่วยสูงอายุมากขึ้น

Evergreen Consumption 

รักตัวเองอย่างเดียวไม่พอ ผู้บริโภคยุคนี้ต้องรักษ์โลกด้วย จะตัดสินใจเลือกทานอาหารทั้งทีต้องรู้ถึงกระบวนการผลิตตั้งแต่ฟาร์มจนไปถึงร้านขายของขำ เพื่อแน่ใจว่ามีใช้สารพิษน้อยที่สุด การผลิตส่งผลกับทรัพยากรทางธรรมชาติหรือไม่ อย่างกระบวนการผลิตที่เลือกเหมาซื้อผัก ผลไม้ แล้วคัดเอาแต่ ผัก ผลไม้ ที่สวย ที่ไม่สวยก็คัดทิ้ง ซึ่งก่อให้เกิดขยะมากเกินจำเป็น ทำให้ผู้บริโภคเลือกที่จะไม่ซื้อแม้จะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพแค่ไหน รวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่เลือกใช้ต้องใส่ใจสุขภาพด้วย

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดื้อโรคยา

หากทุกคนปฏิบัติตามนี้ได้ย่อมจะมีสุขภาพแข็งแรง แม้ว่าตอนเริ่มต้นจะรู้สึกว่าทำยาก แต่จงจำไว้ว่าร่างกายเป็นเสาหลักที่ทำให้เราประสบ จึงต้องดูแลรักษาร่างกายซึ่งเปรียบเสมือนสิ่งล้ำค้าไว้ อาจจะต้องบังคับตัวเองบ้างก็มิใช่เรื่องยากเกินไป

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดิอโรคยา

ทุกวันนี้เวลาไปเดินตามห้างสรรพสินค้าที่มีสถานที่ออกกำลังกายตั้งอยู่ เมื่อลองมองเข้าไปเราจะเห็นได้ว่า มีคนหลากหลายวัยทั้งหญิงและชาย เข้าไปใช้บริการกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่คนยุคใหม่หันมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น แต่ความจริงแล้ว การออกกำลังกายแต่เพียงอย่างเดียว อาจไม่สามารถตอบโจทย์สุขภาพดีได้ทั้งหมด

เมื่อใดก็ตามที่เรามุ่งเน้นการออกกำลังกาย สร้างกล้ามเนื้อ เผาผลาญไขมันอย่างหนัก แต่กลับยังมีพฤติกรรมการกินอยู่และการพักผ่อนที่ไม่เหมาะสม เช่น หลังออกกำลังกายอย่างหนัก สูญเสียเหงื่อมาก จึงทดแทนด้วยน้ำหวาน-เย็นขวดใหญ่ และ อาหารมื้อหนักที่อุดมด้วยเนื้อสัตว์แต่ขาดไฟเบอร์และวิตามิน-แร่ธาตุจากผักผลไม้ หรือบางท่านออกกำลังกายจัดหนักในเวลาค่ำยันดึก ที่ควรเป็นเวลาพักผ่อนนอนหลับมากกว่า

เพราะฉะนั้นหากต้องการมีสุขภาพดีแบบองค์รวม เรามีเคล็ดลับดีๆ ของหมอแดงมาฝากให้ลองนำไปปฏิบัติกัน นอกเหนือจากการออกกำลังกาย ดังนี้

1. ควรดื่มน้ำให้พอเพียงในแต่ละวัน ร่างกายประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ เลือดประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ถ้าขาดน้ำ เลือดก็จะข้น หนืด ไหลเวียนไม่สะดวก หัวใจก็จะต้องทำงานหนักเพราะต้องปั๊มเลือดที่หนืดข้นไปเลี้ยงร่างกาย ตับไตก็จะทำงานหนัก ในการขับกรองของเสียออกจากเลือดที่หนืดข้น

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดิอโรคยา

การดื่มน้ำที่ถูกวิธี

– หลังตื่นนอนดื่ม 2-3 แก้ว ช่วยให้เลือดไม่หนืด และกระบวนการขับของเสียทำงานได้ดีขึ้น

– ระหว่างวันดื่มให้ได้ วันละ 1.5-2 ลิตร โดยวิธีการแบ่งดื่มครั้งละประมาณครึ่งแก้ว แต่ดื่มบ่อยๆ

– ก่อนและหลังอาหาร 30 นาที ไม่ควรดื่ม หากกระหายให้ใช้การจิบ เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร

*** หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นจัด น้ำเย็นจัดจะลงไปดับไฟย่อยอาหาร (เจือจางน้ำย่อย) จนไฟมอด อาหารจึงไม่ย่อย พากันหมักจนเป็นแก๊สพิษขึ้นมา เผาปาก เผาคอ เผาต่อมไทรอยด์ ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นแผลในปากคอ มีกลิ่นปาก ***

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดิอโรคยา

2. อาหารเช้าคือมื้อที่สำคัญที่สุด ตามหลักนาฬิกาชีวิต ควรรับประทานมื้อเช้าในเวลา 7-9 โมงเช้า เพราะเป็นเวลาที่พลังชีวิตเดินผ่านเส้นลมปราณกระเพาะอาหาร…การทานอาหารเวลานี้ จะทำให้ร่างกายได้รับคุณค่าจากสารอาหารอย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด คนที่ไม่ชอบทานอาหารมื้อเช้า มักทำร้ายร่างกายโดยไม่ตั้งใจเพราะ 

การอดอาหารในเวลาที่ร่างกายต้องการอาหารอย่างมาก นานวันเข้า จะทำให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ เกิดการป่วยด้วยโรคต่างๆ เพราะอวัยวะภายในเสื่อมและหย่อนพิการลง จึงไม่ต้องแปลกใจว่า คนที่ไม่ชอบทานอาหารเช้า แต่ทดแทนด้วยกาแฟและอาหารที่ไม่มีประโยชน์ จะมีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ อ่อนเพลียเรื้อรัง โรคกระเพาะถามหา และโลหิตจาง ดังนั้นอย่าลืมเติมสารอาหารที่มีประโยชน์ให้กับร่างกายทุกเช้า

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดิอโรคยา

3. ลดการบริโภคนม และผลิตภัณฑ์จากนม เพราะองค์ประกอบของนมวัวกับนมคนนั้นแตกต่างกันมาก นมวัวมีแคลเซียมมากกว่านมคนประมาณ 4 เท่า มีโปรตีนมากกว่า 3 เท่า แต่มีคาร์โบไฮเดรตเพียง 2 ใน 3 ของนมคน โครงสร้างและอัตราการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน ระหว่างลูกวัวกับทารก ทำให้องค์ประกอบเหล่านี้ มีสัดส่วนแตกต่างกัน

นมวัวเหมาะที่จะใช้เลี้ยงลูกวัว ซึ่งมีน้ำหนักแรกเกิดถึง 40 กิโลกรัม แค่อายุ 2 ปี น้ำหนักก็ขึ้นได้ถึง 900 กว่ากิโลกรัม ส่วนทารกมีน้ำหนักแรกเกิด 2 – 3 กิโลกรัม อยู่จนอายุ 20 ปี น้ำหนักตัวเฉลี่ยก็เพียง 68 กิโลกรัม ซึ่งเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันมาก

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดิอโรคยา

 4. รับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง ทานผักให้มากขึ้น โครงสร้างของมนุษย์ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ เป็นสัตว์ประเภท กินผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืชเป็นอาหาร เพราะลำไส้ยาวกว่าสัตว์กินเนื้อมาก แต่น้ำย่อยมีความเข้มข้นน้อยกว่าถึง 20 เท่า การบริโภคเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ที่มาจากเนื้อสัตว์มากเกินไป ทำให้เส้นทางเดินอาหารอ่อนแอลง นำไปสู่ความผิดปกติของลำไส้ในแบบต่างๆ โปรตีนจากสัตว์เริ่มเน่าทันทีเมื่อสัตว์ถูกฆ่า ซึ่งผิดกับโปรตีนของพืชผักและธัญพืช จะไม่เน่าเสียก่อนที่จะกิน การแช่ตู้เย็น หรือสารกันบูดก็พอจะช่วยให้เนื้อสัตว์ไม่เน่าได้ แต่เมื่อถูกนำมาปรุงอาหารแล้วก็จะเริ่มเน่าเสียแล้ว

นอกจากนี้ยังมีโรคติดเชื้อในเนื้อสัตว์ สารพิษตกค้างในอาหารที่มาจากสัตว์ด้วย สัตว์ที่เลี้ยงเพื่อเป็นอาหารจะถูกเลี้ยงด้วยฮอร์โมนเพื่อจะได้อ้วนเร็วๆ แล้วต้องโตเร็วๆ ด้วย ก็ต้องใช้ยาปฏิชีวนะเร่ง ไก่ซึ่งเคยใช้เวลาเลี้ยง 8 เดือนกว่าจะนำมาขายเป็นไก่เนื้อได้ ในปัจจุบันเขาเลี้ยงกันแค่ 45 วันก็ขายได้ แล้วสารเคมีแปลกปลอมที่เร่งโต และยาปฏิชีวะนะที่สะสมอยู่ในเนื้อสัตว์จะมีมากเพียงใด

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดิอโรคยา

 5. ลดการบริโภคน้ำตาลลง เราทราบกันดีว่าน้ำตาลนั้นให้พลังงานแก่ร่างกาย เมื่อเรารู้สึกเหนื่อยถ้าได้ดื่มอะไรหวานๆ เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน เครื่องดื่มชูกำลังที่วางขายกันดาษดื่น เราก็จะรู้สึกสดชื่นมีกำลัง แต่สักพักก็จะรู้สึกเหนื่อยใหม่ ก็ดื่มกินกันใหม่ โดยไม่ได้คิดถึงโทษจาการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ปกติแล้วเราควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 7 ช้อนชาต่อวัน 

เพื่อไม่ให้ตับอ่อนเราต้องทำงานหนักในการผลิตอินซูลินเพื่อมาจัดการกับน้ำตาล แต่ทุกวันนี้เราบริโภคน้ำตาลกันจนล้น เมื่อน้ำตาลมากเกินไป ร่างกายก็จะจัดการนำไปเก็บไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อในรูปของไขมัน รอเวลาขาดแคลนจึงจะนำออกมาใช้

ไม่ใช่มีแค่โรคเบาหวานอย่างเดียว มีโรคอีกมากมายที่เกิดจาก “ความหวาน” นี้ ความหวานนี้เป็นอาหารที่เชื้อโรคต่างๆ ชอบมาก เชื้อรา แบคทีเรีย จุลินทรีย์ จะพากันเริงร่าเมื่อมีความหวาน สังเกตว่าเมื่อบริโภคหวาน ไม่ว่าจากน้ำตาลโดยตรง หรือจะเป็นผลไม้หวานมากๆ จะมีอาการคัน เชื้อรากำเริบ และจะรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวมาก

รสหวานนั้นเป็นหยาง (ร้อน) เมื่ออาหารที่รับประทานเข้าไปไม่ย่อย และเมื่อไม่ย่อยบวกกับความหวานก็จะเกิดการหมัก กลายเป็นกรด เป็นแก๊สเสียขึ้น และถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย กระแสเลือด เมื่อร่างกายถูกหล่อเลี้ยงด้วยของเสียก็ย่อมเจ็บป่วย

6. ควรเข้านอนไม่เกิน 5 ทุ่ม ปัจจุบันเราต่างพากันขยายเวลากลางวันเข้าไปทดแทนเวลากลางคืน ไม่ยอมหลับยอมนอนกัน ดูทีวี เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ เที่ยวกลางคืน หรือไม่ก็ทำงานกันทั้งคืน แล้วก็มานอนเอาตอนรุ่งสาง โดยมีความคิดว่า มันเงียบดี ไม่มีใครมารบกวน ได้งานเยอะ เห็นมาหลายรายว่าอยู่ได้ไม่กี่น้ำ ทำอยู่ได้ไม่กี่ปี ก็จะค่อยๆ สะสมความเจ็บป่วย มีโรคสะสมเพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งหนักหนาสาหัสนั่นแหละถึงจะรู้สึกตัว

ชีวิตของเรานั้น ต้องมีชีวิตอยู่จนกว่าจะหมดอายุไข เสื่อมตามวัย และเสียชีวิตไปเอง ดังนั้น ต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ดำเนินชีวิตโดยยึดนาฬิกาแห่งชีวิตบ้าง เราควรจะนอนไม่เกิน 5 ทุ่ม

7. เอาพิษออกจากร่างกาย ปัจจุบันนี้เราต้องเผชิญกับ “พิษ” ที่มีอยู่รอบตัวเรา มีทั้งสารพิษ อากาศที่เป็นมลพิษ อาหารที่มีพิษ รวมทั้งพิษที่เราสร้างขึ้นเองในร่างกาย ที่เกิดจากการย่อยไม่ได้ ถ่ายไม่ดี อาหารก็คั่งค้างหมักหมมกลายเป็นสารพิษอยู่ในกระเพาะลำไส้ แล้วถูกดูดซึมเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย เข้าอยู่ในกระแสเลือด ร่างกายจึงอุดมด้วยพิษ การเอาพิษออกจากร่างกายทำให้หลากหลายวิธี เช่น

– สวนล้างลำไส้ พิษที่เยอะที่สุดคือลำไส้ใหญ่ ที่ยาวประมาณ 5-6 ฟุต ถ้าอาหารไม่ย่อยด้วยแล้ว อาหารที่ว่าดีๆ ที่รับประทานเข้าไปก็จะไหลมาคั่งค้างเน่าเหม็นอยู่ที่ลำไส้ใหญ่นี้ ถ้าเป็นไปได้ ลองหาเวลาเข้าคอร์สล้างพิษตับก็เป็นวิธีที่เร็วที่สุด
– อดอาหาร 24 ชั่วโมง โดยดื่มแต่น้ำเปล่า น้ำผลไม้ หรือผลไม้ชนิดเดียวทั้งวัน โดยมากจะใช้ มะละกอ แคนตาลูป หรือฝรั่ง เพื่อกระตุ้นให้กระบวนการขับพิษในร่างกายทำงาน
– นวดกดจุด นวดตัว นวดเท้า การกัวซา (ขูดพิษที่ผิวหนัง) เพื่อขับของเสีย
– รับประทานยาถ่ายหรือยาระบายบ้าง เช่น ส้มแขก มะขามแขก ธรณีสัณฑะฆาต จตุผลาธิกะ ตรีผลา หรือเบญจพันธุ์
– ทำ Oil Pulling

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดิอโรคยา

8. อย่าลืม แบ่งเวลาเพื่อออกกำลังกายในแต่ละวันแต่พอดี ไม่หักโหมหรือละเลย และหมั่นสร้างความดี ทำให้จิตใจสบาย ถ้ามีความเกลียดชังในหัวใจ โรคภัยจะมาเยือน

หากทุกคนปฏิบัติตามนี้ได้ย่อมจะมีสุขภาพแข็งแรง แม้ว่าตอนเริ่มต้นจะรู้สึกว่าทำยาก แต่จงจำไว้ว่าร่างกายเป็นเสาหลักที่ทำให้เราประสบ จึงต้องดูแลรักษาร่างกายซึ่งเปรียบเสมือนสิ่งล้ำค้าไว้ อาจจะต้องบังคับตัวเองบ้างก็มิใช่เรื่องยากเกินไป 

ถ้ายืนหยัดทำอย่างนี้อย่างต่อเนื่อง ปรับเปลี่ยนจนเกิดความเคยชิน การมีสุขภาพดีก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายและติดเป็นนิสัย ทั้งนี้เพราะร่างกายของเราจะตอบสนองต่อตัวเราเอง

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดิอโรคยา

เคล็ดลับ 8 ประการใน การดูแลสุขภาพ โดย หมอแดง ดื้อโรคยา

วิธีดูแลสุขภาพ

กินอาหารอย่างไร ช่วยบำรุงสมองให้ไบรท์ได้

กินอาหารให้เป็น ก็ช่วยบำรุงสมองให้ไบรท์ได้ ไม่เชื่อลองสิ

กินอาหารอย่างไร ช่วยบำรุงสมองให้ไบรท์ได้ สมอง เรียกได้ว่าเป็นอวัยวะสำคัญอย่างมากในร่างกายของเรา เป็นศูนย์กลางของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานทุกอย่าง การมีสมองที่ฉลาดและสดชื่นแจ่มใสนั้น จะช่วยให้การทำงานและใช้ชีวิตในแต่ละวันเป็นไปอย่างมีความสุข แต่ถ้าหากว่าสมองเกิดความเหนื่อยล้า ขาดสมาธิ หรือมีความจำสั้น มักจะส่งผลเสียต่อการดำเนินชีวิตอย่างมากเลยทีเดียว แต่เราสามารถบำรุงสมองของตนเอง ให้สดชื่นและฉลาดได้ ตามหลักการที่นำมาฝากกันนี้เลย

ทานอาหารที่มีประโยชน์

การทานอาหารที่มีประโยชน์ ถือว่าเป็นหัวใจหลักในการบำรุงสมองเลยทีเดียว เพราะสารอาหารต่างๆ ที่ได้รับเข้าไปในร่างกายนั้นจะเข้าไปบำรุงสมองอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี และธาตุเหล็ก เป็นต้น จะช่วยเสริมสร้างให้การทำงานของระบบสมองมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างความจำดีมากยิ่งขึ้น

หมั่นทานผักและผลไม้

อาหารจำพวกผักและผลไม้ ซึ่งอุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนซ์และสารอาหารจำพวกวิตามินต่างๆ ล้วนมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายและระบบสมองเป็นอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้สมองมีความสดชื่น กระปรี้กระเปร่ามากยิ่งขึ้น  เวลาที่เครียดก็จะช่วยหลั่งสารต้านอนุมูลอิสระออกมา ด้วยเหตุนี้ จะเห็นได้ว่าผู้ที่ชื่นชอบทานผักและผลไม้เป็นประจำ นอกจากสุขภาพผิวดีแล้ว ยังมีความจำดีอีกด้วย

ทานอาหารให้ตรงเวลา

การทานอาหารให้ตรงเวลา เป็นสิ่งที่หลายคนทำได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนี้ ที่มีการใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ และภาระหน้าที่การทำงานมักจะทำให้ทานอาหารไม่ค่อยตรงเวลาสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรนำมาเป็นข้ออ้าง หากอยากจะบำรุงสมองและร่างกายให้มีสุขภาพดี ก็ควรใส่ใจทานอาหารให้ตรงเวลาทั้ง 3 มื้อ ไม่ควรอดมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะอาจส่งผลทำให้สมองอ่อนล้าได้ หรือหากยังไม่สะดวกทานข้าวจริงๆ ก็อาจจะหาของว่างมาทานรองท้องก่อนก็ได้

แบ่งทานเป็นมื้อเล็กๆ

การที่เราแบ่งทานอาหารเป็นมื้อเล็กๆ สัก 5-6 มื้อต่อวัน จะส่งผลดีต่อร่างกายและการทำงานของระบบสมอง เพราะจะช่วยกระตุ้นความกระปรี้กระเปร่าสดชื่นอยู่ตลอดเวลา สมองไม่เกิดความอ่อนล้า มีประสิทธิภาพในการทำงานอยู่เสมอ นอกจากนี้แล้ว ประโยชน์ของการทานอาหารมื้อเล็กๆ ยังช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย

เคล็ดลับในการกินอาหารบำรุงสมองที่เรานำมาฝาก เรียกได้ว่าเป็นวิธีสุดเบสิกที่สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน และเห็นผลลัพธ์ที่ดีเริ่ดได้จริงๆ  คุณเองก็สามารถเติมสิ่งดีๆ ให้กับสมองได้ ว่าแล้วก็อย่าลืมทำตามดู

7 วิธีดูแลสุขภาพกายและใจเพื่อชีวิตสดใส

7 วิธีดูแลสุขภาพกายและใจเพื่อชีวิตสดใส

หลายคนอาจจะคิดว่าความร่ำรวยเงินทองคือ บ่อเกิดของความสุข แต่คุณจะมีความสุขกับเงินที่หามาได้อย่างไร หากสุขภาพไม่เอื้ออำนวย ต้องเข้าโรงพยาบาลไปพบหมอมากกว่าได้เดินทางไปแหล่งท่องเที่ยว สุขภาพจึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องให้ความสำคัญทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ซึ่งก็สามารถทำได้ดังต่อไปนี้

1.ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และทานให้ตรงเวลา

ในทุก ๆ มื้อพยายามทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่อย่างพอเพียงตามความต้องการของร่างกาย และควรทานให้ตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน โดยมื้อเช้าถือว่าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดจึงไม่ควรที่จะงด ส่วนมื้อเย็นควรทานแต่น้อยและไม่ควรทานหลัง 6 โมง เพราะหากทานดึกเกินไปใกล้เวลานอน อาจทำให้ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่

2.ดื่มน้ำให้พอเพียง

พยายามดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว เพราะการดื่มน้ำอย่างพอเพียงมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ทั้งในเรื่องของสุขภาพและความสวยความงาม ไม่ว่าจะเป็นช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตเป็นไปอย่างปกติ ช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื่น ดูสดใสเปล่งปลั่ง

3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ควรหาเวลาออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที นอกจากการออกกำลังกายจะช่วยให้สดชื่นผ่อนคลายแล้ว ยังช่วยให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง ช่วยให้ปอดและหัวใจทำงานได้ดี อีกทั้งยังช่วยสลายไขมัน ซึ่งจะช่วยลดความอ้วนได้อีกด้วย

Advertisement

4.นอนหลับพักผ่อนอย่างพอเพียง

นอนหลับพักผ่อนให้ได้วันละ 6-8 ชั่วโมง การนอนหลับพักผ่อนอย่างพอเพียงไม่เพียงแต่ร่างกายจะซ่อมแซมตัวเองได้อย่างเต็มที่เท่านั้น แต่ยังทำให้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นแจ่มใส มีพลังในการทำงานและการใช้ชีวิต

5.หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ

เป็นที่รู้กันว่า การสูบบุหรี่และดื่มเหล้านั้นเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งตับ มะเร็งปอด การหลีกเลี่ยงหรือพยายามลด ละ เลิก พฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพเหล่านี้จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่จะทำให้คุณมีสุขภาพดีขึ้น เพราะหากคุณไม่รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายก็ย่อมเป็นการลดปัจจัยที่จะมาทำลายสุขภาพของคุณนั่นเอง

6.รักษาสุขภาพจิตให้ดี

การมีสุขภาพจิตที่ดีย่อมส่งผลให้สุขภาพร่างกายดีไปด้วย และการมีสุขภาพจิตที่ดีนั้นก็สามารถทำได้โดยการทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่บวกอยู่เสมอ หากิจกรรมที่ชอบทำ ฝึกสมาธิปฏิบัติธรรม เป็นต้น

7.ให้เวลากับคนในครอบครัว

ความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัว เป็นแหล่งที่มาอีกแห่งหนึ่งของความสุข การให้ความสนใจกับธุระการงานจนลืมที่จะแบ่งเวลาให้กับคนในครอบครัวย่อมทำให้ความสุขในครอบครัวลดน้อยลง ใส่ใจกับครอบครัวให้มากขึ้น สร้างความสมดุลให้กับชีวิตส่วนตัวและการทำงาน เท่านี้คุณก็หาความสุขได้ในทุก ๆ วันได้แล้ว

สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์และการมีสุขภาพจิตที่ดี ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณสามารถสัมผัสกับความสุขที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างเต็มที่เท่านั้น แต่มันยังเป็นแหล่งกำเนิดของความสุขด้วยตัวของมันเอง และมันคงไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไรถ้าคุณจะหันมาใส่ใจกับสุขภาพเสียแต่บัดนี้ เพื่อที่คุณจะได้มีความสุขได้มากขึ้นในทุกวันที่ผ่านไป

7 วิธีดูแลสุขภาพกายและใจเพื่อชีวิตสดใส

อาหารลดน้ำหนัก การดูแลสุขภาพ

อยากมีสุขภาพที่ดี “ฝรั่ง” อาจช่วยคุณได้

ถ้าพูดถึงฝรั่ง เชื่อว่ามันต้องเป็นผลไม้สุดโปรดของใครหลายๆ คนแน่นอน และนั่นก็ถือเป็นข่าวดีของคนที่ชอบรับประทานฝรั่ง เนื่องจากประโยชน์มากมายที่คุณจะได้รับจากฝรั่งนั้น อาจไม่มีให้คุณจากการรับประทานผลไม้ชนิดอื่นๆ อยากรู้ว่าผลไม้ที่มีชื่อว่าฝรั่งจะมีดีแค่ไหน ต้องตามไปอ่านพร้อมๆ กันเลย…

ฝรั่งช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส

เนื่องจากฝรั่งเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีที่สูงมาก แม้จะนำมาเทียบกับส้ม ฝรั่งก็ยังคงเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีที่สูงกว่า และวิตามินซีก็เป็นสารอาหารที่มีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ส่งผลทำให้ผิวพรรณของคนเรามีความเปล่งปลั่งและสดใสมากยิ่งขึ้น

ฝรั่งช่วยลดโอกาสการเป็นโรคมะเร็งลำไส้

นอกจากฝรั่งจะเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีแล้ว มันยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารที่สูงมากอีกด้วย และนั่นก็เป็นการทำความสะอาดระบบขับถ่ายภายในร่างกายได้ดีขึ้นด้วย จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมฝรั่งจึงมีส่วนช่วยลดโอกาสเสี่ยงจากการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ได้

ฝรั่งช่วยชะลอริ้วรอยต่างๆ ได้ดี

สำหรับใครที่มักเป็นกังวลในเรื่องของริ้วรอย และกำลังมองหาวิธีการลดริ้วรอยด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งไม่ต้องเสี่ยงกับผลเสียที่อาจจะตามมานั้น ก็แนะนำให้รับประทานฝรั่งเป็นประจำทุกวัน เนื่องจากฝรั่งมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก ซึ่งสารดังกล่าวมีหน้าที่ในการช่วยลดริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้า แถมยังช่วยชะลอวัยให้คุณรู้สึกถึงการมีใบหน้าที่เด็กลงอีกด้วย

ฝรั่งช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน

อย่างที่ทราบกันดีว่าฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีสูง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่มันจะสามารถช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ส่วนใครที่มีปัญหาเลือดออกตามไรฟันบ่อย ก็ควรจะหาฝรั่งมารับประทานกันดู ทั้งนี้แนะนำให้นำฝรั่งมาปั่นเป็นน้ำ แล้วดื่มเข้าไปจะเป็นการดีกว่าการกัดฝรั่ง เพราะอาจส่งผลทำให้เกิดอาการปวดฟันในช่วงที่มีเลือดออกตามไรฟันได้

ฝรั่งช่วยลดสารพิษภายในร่างกาย

ในแต่ละวันที่คุณรู้สึกว่าร่างกายเกิดความผิดปกติไปจากเดิม นั่นอาจเกิดมาจากการที่ร่างกายของคุณได้รับสารพิษก็เป็นไปได้ ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับสารพิษเข้าไป แนะนำให้รับประทานฝรั่ง เนื่องจากสารเบต้าแคโรทีนที่อุดมอยู่ในฝรั่งนั้น จะช่วยลดปริมาณสารพิษภายในร่างกายของคุณได้

ฝรั่งช่วยป้องกันโรคหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิตามินซีสูงในฝรั่งนั้น จะช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยป้องกันโรคหวัดได้อีกด้วย ซึ่งปริมาณฝรั่ง 100 กรัมนั้น จะอุดมไปด้วยวิตามินซีสูงถึง 160 มิลลิกรัมเลยทีเดียว และปริมาณของวิตามินซีในปริมาณดังกล่าวนั้น ก็ถือเป็นปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายคนเราในแต่ละวัน ส่วนใครที่มักเป็นหวัดบ่อยๆ ก็ควรจะหาฝรั่งมารับประทานกันบ่อยๆ เพราะมันจะช่วยลดปริมาณการรับประทานยาของคุณได้อีกด้วย

รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่ไม่ชอบรับประทานฝรั่ง คงต้องลองรับประทานฝรั่งเข้าไปบ้างแล้ว เพราะประโยชน์มากมายจริงๆ

รู้จักอาหารชีวจิตให้มากขึ้น สุขภาพดีขึ้นทันตา

อาหารชีวจิตนั้นเป็นแนวทางในการรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทย ที่มีความง่ายต่อการจัดหา การปรุง และการรับประทาน โดยเน้นอาหารที่เป็นธรรมชาติที่สุด ไม่ต้องผ่านการปรุงแต่งมากมาย และยังคงไว้ซึ่งรสชาติเดิมๆ ทั้งนี้ อาหารชีวจิตเป็นการนำความรู้ทางโภชนาการที่เลือกสรรเฉพาะอาหารที่ให้คุณค่าและมีประโยชน์แก่ร่างกายมากที่สุด ที่สำคัญเป็นอาหารที่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้างน้อยที่สุดด้วย วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกับอาหารชีวจิตให้มากขึ้นกันค่ะ

การทานอาหารชีวจิตนั้นเราขอแนะนำให้คุณงดหรือหลีกเลี่ยงการทานเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก อันได้แก่ เนื้อหมู เนื้อไก่ และก็เนื้อวัว แป้งขัดขาวทุกชนิด น้ำตาลฟอกขาวทุกชนิด ไขมันที่อิ่มตัวที่ได้จากสัตว์ กะทิ และน้ำมันปาล์ม ที่สำคัญขอแนะนำให้คุณทานอาหารอย่างสมดุลตามสัดส่วนของการทานอาหารชีวจิตด้วย ซึ่งสูตรหรือสัดส่วนของการทานอาหารชีวจิตก็คือ การทานอาหารประเภทแป้งไม่ขัดขาวกลุ่มนี้ควรทาน 50 % หรือครึ่งหนึ่งของอาหารแต่ละมื้อ อย่างเช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง

และถ้าเป็นขนมปัง ก็จะต้องเป็นขนมปังโฮลวีท หรือถ้าเป็นแป้งก็ควรอยู่ในกลุ่มคอมเพล็กซ์ คาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีโปรตีนปนอยู่ ก็ควรเติมมันฝรั่ง มันเทศ เผือก และฟักทองลงไปด้วย ส่วนผักที่รับประทานไม่ว่าจะเป็นผักดิบหรือผักสุกก็ทาน 25% ของปริมาณอาหารที่ทานในแต่ละมื้อ ที่สำคัญคุณต้องเลือกผักที่ปลอดสารพิษ และควรล้างผักด้วยวิธีการล้างผ่านน้ำ และนำไปแช่ในน้ำด่างทับทิม หรือน้ำส้มสายชูเจือจางสัก 1-2 ชั่วโมง จะช่วยล้างสารพิษที่ตกค้างได้ค่ะ ถั่วเป็นอาหารประเภทโปรตีนควรทาน 15% ของอาหารแต่ละมื้อ อย่างเช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง หรือทานผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากถั่ว เช่น เต้าหู้

บางครั้งเราอาจจะทานโปรตีนที่ได้จากสัตว์เป็นครั้งคราวก็ได้ อย่างเช่น ปลา ไข่ และอาหารทะเล ควรทานสัปดาห์ละ 1-2 มื้อ ส่วนอีก 10% ของอาหารนั้น จะเป็นอาหารทั่วไปประเภท แกงจืด แกงเลียง หรืออาหารประเภทซุป และของขบเคี้ยว อย่างงาสด และงาคั่ว ถั่วคั่ว เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม เมล็ดดอกทานตะวัน ส่วนผลไม้สดต้องเป็นผลไม้ที่ไม่หวาน เช่น มะม่วงดิบ ฝรั่ง มะละกอห่ามๆ เป็นต้น

การทานอาหารชีวจิตนั้นเป็นการเลือกทานโดยการเน้นอาหารที่เป็นธรรมชาติ มีการปรุงแต่งรส กลิ่น สี ให้น้อยที่สุด และสิ่งสำคัญก็คือ จะต้องเป็นอาหารที่ไม่มีสารพิษตกค้าง ดังนั้น คุณควรเลือกทานอาหารที่มีคุณค่ามากกว่าเลือกทานในสิ่งที่ตนเองชอบเพียงอย่างเดียว และนอกจากนี้การทานอาหารชีวจิตยังส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายของตัวคุณเองในระยะยาวอีกด้วยนะคะ

โภชนาการอาหารชีวจิต

“อาหาร” ที่คุณรู้จัก

ใครๆ ก็รู้จักคำว่า “อาหาร” แต่จะมีซักกี่คนที่เข้าใจกับคำๆ นี้ อย่างแท้จริง เพื่อให้เห็นภาพอย่างชัดเจน จึงขออธิบายว่า หมู เห็ด เป็ด ไก่ สิ่งเหล่านี้เรียกว่า “อาหาร” (Food) เมื่อมันยังไม่ถูกส่งเข้าปากของเรา แต่เมื่อเรากินมันเข้าไปแล้ว อาหารเหล่านี้ จะถูกเปลี่ยนสภาพโดยกระบวนการย่อยของร่างกาย เริ่มจากการบดเคี้ยว และเอนไซม์ในปาก แล้วเคลื่อนจากปากลงสู่กระเพาะอาหาร และจากกระเพาะอาหารลงสู่ลำไส้เล็ก ที่ลำไส้เล็กนี่เองที่ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนสภาพจากอาหาร (Food) ให้เป็นสารอาหาร (Nutrient) อย่างสมบูรณ์ และบทบาทสำคัญของสารอาหารนี่แหละที่ทำหน้าที่ดูแล และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย รวมทั้งช่วยบำบัด และรักษาร่างกายยามเจ็บป่วยด้วย

You are what you eat….คุณเคยได้ยินหรือไม่???

อาหารแต่ละจานที่เรารับประทานเข้าไป แน่นอนว่าย่อมมีทั้งประโยชน์ และโทษ ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ เครื่องปรุง วิธีการปรุง และปริมาณที่บริโภค รวมทั้งสภาพร่างกายของแต่ละคน แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ ทำให้เกิดทางเลือกในการบริโภคที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เมื่อเรามีสิทธิ์เลือก เราก็ต้องเลือกอาหารที่ถูกปากมากกว่าอาหารที่ถูกหลักโภชนาการอยู่แล้ว แม้ว่าหลายคนจะทราบดีอยู่แล้วว่าการกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการต้องกินอย่างไร แต่เพราะรสชาติของอาหารจานโปรดนี่แหละ ที่พาเราเกิดกิเลส และยอมละทิ้งอาหารที่ให้ประโยชน์มากกว่า

ดังที่ ฮิปโปเครติส (Hippocrates) บิดาของวงการแพทย์ กล่าวไว้ว่า “You are what you eat…คุณกินอะไรเข้าไป คุณก็เป็นอย่างนั้น” หากคุณเลือกกินอาหารที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกาย ร่างกายของคุณก็จะแข็งแรง ปลอดโรค แต่หากคุณกินไม่เลือก เมื่ออาหารที่ไม่ดีเข้าสู่ร่างกายของคุณในปริมาณที่มากเกินพอดี อาหารเหล่านั้น ก็จะกลายเป็นขยะ เป็นสารพิษที่สะสมในร่างกาย และไปขัดขวางการทำงานของระบบภูมิต้านทานของร่างกาย เป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ อย่างเช่น

• การกินแป้ง น้ำตาล มากเกินไป ทำให้เป็นเบาหวาน

• การกินอาหารที่มีรสเค็มมากเกินไป ทำให้เป็นโรคไต

• การกินอาหารที่มีไขมันมากเกินไป ทำให้เป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด เป็นต้น

ฉะนั้น การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ อย่างอาหารชีวจิต จึงเป็นอีกทางเลือกในการดูแลสุขภาพอย่างชัดเจนอีกทางหนึ่ง หลายคนคงสงสัยกับคำว่า “ชีวจิต” ว่าจริงๆ แล้ว หมายถึงอะไร แล้วเกี่ยวข้องกับสุขภาพของเราได้อย่างไร???

“ชีวจิต”…สุขภาพทางเลือก

ชีวจิต เป็นแนวความคิดเรื่องสุขภาพแบบองค์รวม คือ ผนวกรวมเอา “ชีว” ที่หมายถึง “กาย” รวมเข้ากับ “จิต” ที่หมายถึง “ใจ” ซึ่งทั้งสองส่วนย่อมมีผลต่อกันโดยตรง และไม่สามารถแยกออกจากกันได้ หรืออธิบายได้ว่า คนเราจะมีความสุข ความแข็งแรงได้ ก็ต่อเมื่อกาย และใจ ทำงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใช้ชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติให้มากที่สุด

เมื่อนำแนวทางการปฏิบัติแบบชีวจิตมาใช้ร่วมกับการรับประทานอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ เพื่อให้ได้สุขภาพที่แข็งแรง สมบูรณ์ จึงเกิดเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพแบบใหม่ เป็นที่นิยม และแพร่หลายอย่างมาก นั่นก็คือ “อาหารชีวจิต”

อาหารชีวจิต เป็นแนวทางการรับประทานอาหารที่ ดร.สาทิส อินทรกำแหง ศึกษา และปรับปรุงจากหลักการของแมคโครไบโอติกส์ ให้เหมาะสมกับสภาพวิถีชีวิตของคนไทย กล่าวโดยรวมๆ อาหารชีวจิต คือ อาหารชั้นเดียว หมายถึง อาหารที่คงสภาพตามธรรมชาติเดิมไว้มากที่สุด ไม่ต้องผ่านการปรุงแต่งมากมาย และคงรสชาติเดิมของอาหารไว้มากที่สุด เป็นการนำความรู้ทางโภชนาการขั้นสูงมาพิจารณาอาหารต่างๆ แล้วเลือกสรรเฉพาะอาหารที่ให้คุณค่าแก่ร่างกาย และจิตใจมากที่สุด ที่สำคัญคือ เป็นอาหารที่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในร่างกายน้อยที่สุด

อาหารที่ควรงด ตามแนวทางชีวจิต

• เนื้อสัตว์ย่อยยาก ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อหมู และเนื้อไก่

• แป้งขัดขาว และผลิตภัณฑ์จากแป้งขัดขาวทุกชนิด

• น้ำตาลฟอกขาว และผลิตภัณฑ์จากน้ำตาลฟอกขาวทุกชนิด

• ไขมันเลว คือ ไขมันอิ่มตัว ได้แก่ ไขมันจากสัตว์ น้ำมันปาล์ม และกะทิ

กินตามสูตรสุขภาพ…แบบชีวจิต

1. อาหารประเภทแป้งไม่ขัดขาว

        เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ถ้าเป็นข้าวโพด จะเป็นข้าวโพดทั้งเมล็ด หรือทั้งฝัก ถ้าเป็นแป้งขนมปัง ก็เป็นขนมปังโฮลวีท และแป้งกลุ่มคอมเพล็กซ์ คาร์โบไฮเดรต คือ แป้งหลายชั้น ซึ่งมีโปรตีนปนอยู่ด้วย โดยการเติมมันเทศ มันฝรั่ง เผือก และฟักทองลงไป

กลุ่มนี้ ควรรับประทาน 50 % หรือครึ่งหนึ่งของอาหารแต่ละมื้อ

2. ผัก

        ใช้ทั้งผักดิบ และผักปรุงสุกอย่างละครึ่ง ที่สำคัญ ต้องล้างผักให้สะอาด หรือเลือกบริโภคผักที่ปลอดสารพิษ

กลุ่มนี้ ควรรับประทาน 25 % หรือหนึ่งในสี่ของอาหารแต่ละมื้อ

3. โปรตีน

        เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร นอกจากนี้ควรบริโภคโปรตีนจากสัตว์เป็นครั้งคราว เช่น ไข่ ปลา และอาหารทะเล สัปดาห์ละ 1 – 2 มื้อ

กลุ่มนี้ ควรรับประทาน 15 % ของอาหารแต่ละมื้อ

4. เบ็ดเตล็ด

        • อาหารประเภทแกง เช่น แกงจืด แกงเลียง

        • อาหารประเภทซุป เช่น ซุปมิโซะ (ซุปเต้าเจี้ยวญี่ปุ่น)

        • อาหารประเภทของขบเคี้ยว เช่น ถั่วคั่ว เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดงา

        • ผลไม้สด ที่มีรสชาติไม่หวานจัด เช่น ฝรั่ง มะม่วงดิบ พุทรา แอปเปิ้ล

กลุ่มนี้ ควรรับประทาน 10 % ของอาหารแต่ละมื้อ

อย่างไรก็ตาม อาหารชีวจิต นอกจากคำนึงถึงคุณประโยชน์แล้ว ยังให้ความสำคัญกับความอร่อย และหน้าตาของอาหาร แม้ว่ารสชาติจะไม่จัดจ้าน แต่ก็มีความกลมกล่อมแบบพอดีๆ ที่สำคัญ หากคุณต้องการเน้นสุขภาพแบบชีวจิต การรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ ควรคำนึงถึงความสมดุลตามสัดส่วนของชีวจิตด้วย

ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารตามแนวทางของชีวจิตนั้น มองผิวเผินอาจมีความลึกซึ้ง เข้าใจยาก แต่ในทางปฏิบัติจริงนั้น ไม่ได้ยุ่งยากแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม กลับเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และเข้าถึงแก่นแท้ของธรรมชาติอย่างแท้จริง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    • ดร.สาทิส อินทรกำแหง
    • นิตยสารชีวจิต

อยากสุขภาพผมดี ต้องเริ่มที่การทานอาหาร

หลาย ๆ คนได้ถามหมอเข้ามาว่า การทานอาหารแบบไหนทำให้ผมร่วง แบบไหนทำให้ผมแข็งแรง จริง ๆ คำถามนี้เป็นคำถามที่เหมือนจะง่าย แต่มีความน่าสนในตัวของมันเองอยู่นะครับ เพราะแต่ละคนต้องการสารอาหารแต่ละอย่างไม่เหมือนกันสักทีเดียว ไม่ว่าจะทั้งปริมาณหรือประเภทก็ตาม บทความนี้จะเป็นภาพรวม เป็นสิ่งที่หมอได้พูดคุยกับนักกำหนดอาหารมาครับ

อาหารประเภทใดส่งเสริมให้สุขภาพผมดี?

จริง ๆ แล้ว การทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่นั้นสำคัญที่สุดนะครับ และอย่าลืมทานวิตามิน รวมถึงแร่ธาตุต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ไบโอติน (Biotin) ที่จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบีที่ส่งผลต่อเซลล์ที่มีการเจริญเติบโตตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นเส้นผมหรือผิวหนังก็ตาม ไบโอตินยังสามารถเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้างผมได้อีกด้วย สามารถทานได้จากไข่แดง หรือเนื้อสัตว์สีแดง (เช่น เนื้อหมู หรือเนื้อวัว) และอย่าลืมทานแร่ธาตุต่าง ๆ (Trace element) หรือก็คือแร่ธาตุที่ไม่ต้องการจำนวนมากต่อวัน เช่น ธาตุเหล็ก ซีลีเนียม สังกะสี เป็นต้น ซึ่งแร่ธาตุเหล่านี้ช่วยให้เซลล์ที่มีการแบ่งตัวบ่อย ๆ ทำงานได้เป็นปกติ ไม่ใช่แค่บำรุงผมนะครับ เราควรทานวิตามินให้ครบถ้วน หากไม่รู้ว่าเราควรทานอะไร ก็ลองไปตรวจเช็คว่าเราขาดวิตามินตัวไหนหรือไม่ หมออยากจะเน้นย้ำว่าคนเราแต่ละคน ไม่มีใครเหมือนกันเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีเพื่อน ๆ หรือคนรู้จักให้เราทานวิตามินตัวนี้ ตัวนั้น เพราะว่าดี ทำให้ผมแข็งแรง ดก ดำ หนา แต่พอเราทานไปกลับไม่ได้ผลลัพธ์แบบนั้น อาจจะเพราะว่าเราไม่ได้ขาดวิตามินดังกล่าวนั่นเองนะครับ

อาหารประเภทใดควรหลีกเลี่ยง?

หลาย ๆ คนเคยได้ยินเรื่องอาหารขยะ (Junk food) หรือก็คืออาหารที่ให้พลังงานสูงแต่ให้สารอาหารน้อย (high calorie, low nutrients) ทำให้เราได้รับแต่พลังงาน ไม่ได้รับสารอาหารที่จะเข้าไปบำรุงร่างกายเรา ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้สุขภาพผมไม่ดี แต่สุขภาพโดยรวมก็ไม่ดีไปด้วยนะครับ

ในส่วนของการทานผงชูรสแล้วจะทำให้ผมร่วงนั้นยังไม่มีรายงานการศึกษาทางการแพทย์ที่ชัดเจนครับ หลาย ๆ เรื่องเป็นการโยงมาจากผลการศึกษาที่เกิดขึ้นในหนูทดลอง และก็ถูกโยงไปสู่เรื่องที่ไม่ดีต่อสุขภาพต่าง ๆ มากมาย สรุปด้วยข้อมูลที่มีในปัจจุบันก็คือกินผงชูรสบ้างก็ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรมาก แต่การกินมากไปนั้นไม่น่าจะดีต่อสุขภาพแน่ ๆ ครับ

10 เมนูอาหารสำหรับลูกน้อย 1 ขวบขึ้นไป

สเต็กปลาดอลลี่

ย่างปลาดอลลี่บนกระทะ โรยด้วยงาขาวและงาดำ เตรียมผักและผลไม้ตามชอบเลยค่ะ นึ่งผักให้นิ่ม เสิร์ฟพร้อมกับขนมปังปิ้งทาเนย และไข่ต้ม

สเต็กปลาแซลมอน

ย่างปลาแซลมอนทั้งชิ้นบนกระทะ นึ่งผักตามชอบจนนิ่ม เสิร์ฟพร้อมข้าวสวย และผลไม้ตามชอบ

แกงจืดเต้าหู้หมูสับผักกาดขาว

ตั้งหม้อต้มน้ำให้เดือด ใส่หมูสับชิ้นเล็กๆ ลงไป ตามด้วยเต้าหู้และผักกาดขาว ต้มจนผักกาดขาวนิ่ม หนูน้อย 1 ขวบขึ้นไป อนุญาตให้ปรุงรสเล็กน้อย ปรุงด้วยซอสปรุงรส หรือคุณแม่ท่านไหนหาเครื่องปรุงที่ลดโซเดียมได้ยิ่งดีเลยค่ะ

ไก่นึ่งนมสด

ปรุงรสนมสดเล็กน้อยด้วยซอนปรุงรส จากนั้นนำลงไปนึ่งพร้อมไก่ และผักตามชอบ นึ่งจนไก้สุกและผักนิ่ม ตักใส่จานเสิร์ฟพร้อมกับโรยต้นหอมเล็กน้อย

สปาเก็ตตี้เส้นข้าวกล้องซอสกุ้ง

ลวกเส้นสปาเก็ตตี้ตามวิธีทำข้างซองเลยค่ะ แต่ละยี่ห้อจะไม่เหมือนกัน เมื่อลวกเส้นแล้วนำมาพักไว้ในจาน จากนั้นจัดการผัดกุ้งและหมูสับให้สุก ใส่ซอสมะเขือเทศและซอสปรุงรสลงไปเล็กน้อย ตามด้วยแครอท (หากหนูน้อยยั่งเคี้ยวไม่ได้เต็มที่ให้ลวกแครอทจนนิ่มเสียก่อน) เติมน้ำซุปเล็กน้อย ผัดให้เข้ากัน เสร็จแล้วราดน้ำซอดลงบนเส้นสปาเก็ตตี้เลยค่ะ

ปีกไก่ทอดเกลือข้าวเหนียวอัญชัน

เลือกหุงข้าวเหนียวเองหรือจะไปซื้อร้านที่เขามีขายข้าวเหนียวอัญชัน หรือจะเป็นข้าวเหนียวธรรมดาก็ได้ หรือถ้าหุงเอง ให้แช่ข้าวเหนียวกับน้ำดอกอัญชัน 1 ชั่วโมง แล้วนำไปหุงตามปกติ

ปีกไก่ทอดเกลือ ใช้ปีกกลาง หมักด้วยเกลือ แป้งทอดกรอบ ทอดด้วยน้ำมันร้อน จนปีกไก่เหลืองกรอบ เสิร์ฟพร้อมกับข้าวเหนียวอัญชัน

เกี๊ยวหมูสับ

หมักหมูสับด้วยเกลือ ซีอิ๊วขาว และพริกไทย(แค่เล็กน้อย) ตามด้วยแครอทหั่นเต๋า คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นก็นำมาห่อกับเกี๊ยว อย่าใส่หมูสับเยอะเดี๋ยวห่อแล้วเกี๊ยวจะแตก จากนั้นก็ตั้งน้ำต้มสำหรับลวกเกี๊ยว เสร็จแล้วจะนำมาทานแบบแห้ง หรือเติมน้ำซุปลงไปก็ได้ค่ะ

กุ้งอบวุ้นเส้น

เทน้ำซุปใส่ชาม ปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลือง ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย ซอสหอยนางรม (เน้นปรุงน้อยๆ) จากนั้นนำวุ้นเส้น(ที่นิ่มแล้ว) ลงไปแช่ในน้ำปรุง คลุกเคล้าให้ซอสซึมเข้าวุ้นเส้น จากนั้นให้นำหม้อสำหรับอบใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย แล้วกลิ้งให้ทั่ว ใส่รากผักชี ขิงหั่นแว่น ใส่วุ้นเส้นลงไปในหม้อ ตามด้วยกุ้งวางบนวุ้นเส้น ปิดฝาแล้วนำไปนึ่ง 8 นาที จนกุ้งสุก เปิดฝาใส่ขึ้นฉ่ายปิดฝานึ่งอีกประมาณ 1 นาที จากนั้นก็ปิดไฟ ยกลงจากเตาพร้อมเสิร์ฟ

ห่อหมกปลาดุก

เตรียมกระทงใบตองสำหรับใส่ห่อหมก หั่นกระชาย ใบมะกรูด และหอมแดงเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำไปใส่เครื่องปั่น ใส่นมข้นจืดและไข่ไก่ลงไป และตามด้วยเนื้อปลาดุก (ใช้ปลาชนิดอื่นได้ค่ะ) และเหลือปลาดุกไว้เป็นชิ้นแค่บ้างส่วน ปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียว จากนั้นเทใส่ลงไปใบตอง และตามด้วยเนื้อปลาที่เหลือ ฉีกใบโหระพาโรยลงไปเล็กน้อย จากนั้นนำไปนึ่ง ใช้เวลา 10-15 นาที หรือจนห่อสุก เสร็จแล้วจัดส่งเสิร์ฟได้เลยค่ะ

ไข่เจียวใส่ผัก

เมนูนี้ง่ายมาก แค่เจียวไข่กับผักที่หนูน้อยชอบ เลือกเป็นผักนิ่มๆ จากนั้นก็จัดการทอด ไม่ต้องกรอบมาก ตัดเสิร์ฟกับข้าวสวยร้อนๆ ได้เลยค่ะ